บริษัทจีน แห่ขายออปชันสกุลเงินดอลลาร์ H1/68 ทะลุ 1.3 แสนล้านดอลล์ หวังล็อกกำไรท่ามกลางหยวนทรงตัว
บริษัทจีน เดินหน้าขายออปชันสกุลเงินดอลลาร์/หยวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2568 พร้อมหวังเก็งกำไรจากเบี้ยออปชันในสภาวะตลาดที่มีความผันผวนต่ำ
วันที่ 7 สิงหาคม 2568 เวลา 14.32 น. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า บริษัทจีนขายออปชันสกุลเงินเป็นมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยเฉพาะกลุ่มผู้ส่งออกที่มองว่าอัตราแลกเปลี่ยนหยวนมีแนวโน้มทรงตัว และใช้ตราสารอนุพันธ์ในการบริหารความเสี่ยงจากค่าเงิน รวมถึงสร้างรายได้เพิ่มเติม
แนวโน้มดังกล่าวสะท้อนว่า ผู้ส่งออกจีนยังคงไม่ต้องการแลกเปลี่ยนรายได้จากการส่งออกกลับมาเป็นหยวน ซึ่งมีผลตอบแทนต่ำ แม้ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงในภาพรวม แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจภายในประเทศและประเด็นการค้ากับสหรัฐที่กดดันค่าเงินหยวนไม่ให้แข็งค่าไปมากกว่านี้
ข้อมูลจากสำนักงานบริหารเงินตราต่างประเทศของจีน (SAFE) ระบุว่า ธนาคารพาณิชย์ได้ขายออปชันค่าเงินดอลลาร์/หยวนให้กับลูกค้าเป็นมูลค่าสูงถึง 1.325 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ในช่วงเวลาดังกล่าว ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น 1.9% เทียบกับดอลลาร์ แม้ว่าดัชนีค่าเงินดอลลาร์จะร่วงลงเกือบ 11% โดยธนาคารกลางจีนยังคงควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด ทำให้ค่าเงินไม่ผันผวนมากนัก ทั้งนี้ความผันผวนโดยนัย (implied volatility) ของค่าเงินดอลลาร์/หยวนในระยะเวลา 1 เดือน อยู่ที่ราว 2.5% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567
นักวิเคราะห์และผู้ค้าเงิน ระบุว่า การที่ธนาคารกลางจีนควบคุมการเคลื่อนไหวของหยวนอย่างเข้มงวด ทำให้ผู้ส่งออกหันมาใช้โอกาสจากภาวะตลาดที่มีความผันผวนต่ำ ในการซื้อขายออปชันเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการถือครองเงินดอลลาร์
แหล่งข่าวจากธนาคารสองแห่งเผยว่า ธนาคารมีการแนะนำลูกค้าธุรกิจให้ขาย call options ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ผู้ส่งออกได้ประโยชน์ในทุกทิศทางของค่าเงิน โดยการขายออปชันดอลลาร์/หยวนแบบ 1 ปีที่มีราคาใช้สิทธิ (strike price) สูงกว่าระดับอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน หากค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง (ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้น) ภายใน 12 เดือน ออปชันจะถูกใช้สิทธิและผู้ส่งออกจะได้รับอัตราแลกเปลี่ยนที่ดีกว่า แต่หากไม่มีการใช้สิทธิ พวกเขาก็ยังได้รับค่า premium จากการขายออปชันนั้นอยู่ดี
อ้างอิง : reuters.com