ภาครัฐ-เอกชน ขานรับ ‘เศรษฐกิจสุขภาพ’ ดันประเทศไทยฮับ ATMPs
การประกาศนโยบายเศรษฐกิจสุขภาพ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Medical & Wellness ระดับสากลของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างมูลค่าเศรษฐกิจสูงถึง 6.9 แสนล้านบาทในปีนี้ หรือคิดเป็น 3.39% ของ GDP และคาดการณ์ว่าอีก 3 ปีข้างหน้าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1.98 ล้านล้านบาท ผ่าน 6 กลไกสำคัญ ได้แก่
- การยกระดับภูมิปัญญาไทยและนวดไทย
- การต่อยอดสมุนไพรไทย ยาไทย และอาหารไทย
- การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
- การพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือทางการแพทย์
- การยกระดับศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง และ
- การส่งเสริมธุรกิจและบริการด้านสุขภาพบุคคลและความงาม
ส่งผลให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต่างขานรับ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อน 6 กลไกตามบทบาทที่รับผิดชอบ ซึ่ง 1 ใน กลไกที่น่าจับตามองคือ การตั้งเป้าหมายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (Advanced Therapy Medical Products : ATMPs) เพื่อผลักดันประเทศไทยให้เป็นผู้นำด้านการแพทย์สมัยใหม่ในระดับโลกภายในปี 2570
พร้อมทั้งเร่งส่งเสริมวิจัยและพัฒนา ซึ่งมีหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนให้ความสนใจ พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมการแพทย์ด้วยผลิตภัณฑ์ ATMPs และเพิ่มการเข้าถึงยา ATMPs ของประชาชนในอนาคต
รศ.นพ. ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ รศ.ดร.นพ.จิรุตม์ ศรีรัตนบัลล์ รองคณบดี ฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การพัฒนาและวิจัยด้าน ATMPs เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญทางการแพทย์
ภายในคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้จัดตั้งศูนย์ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยด้าน ATMPs หลายแห่ง อาทิ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านสเต็มเซลล์และเซลล์บำบัด, ศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง และศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง ซึ่งพัฒนามาจากหน่วยวิจัยภายในของคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯโดยมีระบบการผลิตที่ได้มาตรฐานระดับ GMP และสถานที่พร้อมดำเนินการ
“ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการขอรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อให้สามารถเริ่มให้บริการรักษาภายใต้กรอบโครงการวิจัยภายในปีนี้ โดยจุฬาฯ ยังได้ร่วมมือกับอีก 4 สถาบันโรงเรียนแพทย์ ผลักดันให้งานวิจัยออกสู่การใช้งานจริง เกิดความก้าวหน้าด้าน ATMPsเพื่อให้คนไทยเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต”
ด้าน นายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ รองประธานกรรมการ บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมดีซประกาศทำแซนด์บ็อกซ์ เดินหน้าทำงานวิจัยสู่การเป็นผู้ผลิต “ผลิตภัณฑ์ยาเพื่อการบำบัดรักษาขั้นสูง” สำหรับ 5 โรค ได้แก่ ข้อเข่าเสื่อม, ชะลอวัย, ผิวหน้าเสื่อมตามวัย, หมอนรองกระดูกเสื่อม และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยการร่วมมือกับ 2 สถานพยาบาล คือ ศูนย์การแพทย์บางรักและโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต
“เมดีซ อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ จากเดิมที่เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ให้บริการ “ธนาคารสเต็มเซลล์” (Stem Cell Banking) สู่การเป็น“บริษัทชีวเภสัชภัณฑ์” (Biopharmaceutical Company)เต็มรูปแบบ ซึ่งการทำแซนด์บ็อกซ์ คือหัวใจสำคัญของทิศทางใหม่สำหรับการผลิตยา ATMPs จากสเต็มเซลล์ และงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการรักษาด้วยสเต็มเซลล์จะช่วยลดความเจ็บปวดและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ดีกว่าการรักษาแบบเดิม”
ปัจจุบันบริษัทกำลังจะเริ่มทำการทดลองทางคลินิกระยะที่ 2 โดยจะรับอาสาสมัครจำนวน 120 คนต่อโรค ถือว่าสูงกว่าข้อกำหนดขั้นต่ำที่ 100 คน เพื่อป้องกันความเสี่ยงกรณีมีผู้ถอนตัว และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในปลายปีนี้ ตั้งเป้าว่าจะเห็นผลการทดลองที่ชัดเจนภายในช่วงกลางปี 2569 และสามารถยื่นขึ้นทะเบียนยา ATMPs ได้สำเร็จ กลายเป็นผู้ผลิตยา ATMPs จากสเต็มเซลล์รายแรกของประเทศไทย
หากได้รับการขึ้นทะเบียนหลังจากนั้น เมดีซจะดำเนินการผลิตในโรงงานยาของตนเอง ซึ่งเป็นการเพาะเลี้ยงเซลล์ของผู้ป่วยแต่ละรายเพื่อนำกลับไปใช้รักษา (Personalized Medicine) และจะร่วมมือกับเครือข่ายโรงพยาบาลและคลินิกทั่วประเทศเพื่อให้บริการแก่ผู้ป่วยต่อไป
“บริษัทได้ประเมินความเสี่ยงต่างๆ และวางแผนรับมือทั้งด้านกลุ่มตัวอย่าง ทำงานใกล้ชิดกับภาครัฐและใช้มาตรฐานสากลสูงสุดเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ด้วยกระบวนการคัดกรองอาสาสมัครที่เข้มงวด รวมถึงวางแผนนำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (Robotic System) เข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตภายใน 2 ปีข้างหน้า ซึ่งโครงการแซนด์บ็อกซ์ จะทำให้บริษัทมีความพร้อมที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดหลังจากการขึ้นทะเบียนยาสำเร็จ”
ขณะที่ นพ.วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เป้าหมายคือการทำให้โครงการวิจัยทั้ง 5 โครงการสำเร็จและสามารถขึ้นทะเบียนยากับ อย. โดยเริ่มจาก 2 โครงการวิจัย คือ การฟื้นฟูผิว (Skin Rejuvenation) และโรคข้อเข่าเสื่อม และคาดว่าทั้ง 5 โครงการจะเสร็จสิ้นภายในปี 2569
“ต้นทุนในโครงการวิจัย 1 โรคมีค่าใช้จ่ายประมาณ 10 ล้านบาท และการวิจัย 5 โรคมีต้นทุนรวม 50 ล้านบาท หากรวมค่าประกัน, ค่าสถานที่, ค่าอาสาสมัคร และค่าเซลล์ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อ 1 งานวิจัยจะใช้เงินประมาณ 15 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้ได้ใช้เงินทุนส่วนตัวเข้ามาบริหารจัดการ คาดการณ์ว่าจะสามารถเริ่มสร้างรายได้จากโครงการเหล่านี้ได้ตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป”
ทั้งนี้ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) อีกหนึ่งบริษัทผู้ให้บริการในธุรกิจ Stem Cell ที่กำลังมุ่งสู่การพัฒนายา ATMPs เช่นกัน โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) 3 โครงการ ได้แก่ Cord blood Banking การจัดเก็บสเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ, Testing Service (กลุ่ม Mesenchymal Stem Cell) และกาลงทุนในโรงงานผลิต ATMPs (Advance Therapy Medicinal Product)
นางจิรัญญา ประชาเสรี ประธานกรรมการบริหาร ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ไครโอวิวา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันไครโอวิวามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเรื่องสเต็มเซลล์ ที่พร้อมศึกษาและวิจัยการผลิต “ผลิตภัณฑ์ยาใหม่” ในกลุ่ม ATMPs ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของ อุตสาหกรรมสเต็มเซลล์ทางการแพทย์ในกลุ่ม Health & Wellness ครั้งสำคัญของประเทศไทย
โดยการพัฒนา ATMPs ผลิตภัณฑ์ยาใหม่ของไครโอวิวาจะประกอบไปด้วยมาตรฐาน GMP-PIC/s ภายในห้องปฏิบัติการที่ได้ใบอนุญาต ผ.ย.2 จากอย. ในฐานะผู้ให้บริการธนาคารสเต็มเซลล์ เกี่ยวกับการพัฒนาปรับปรุง เปลี่ยนแปลงระบบปฏิบัติการธนาคารสเต็มเซลล์ สอดคล้องกับข้อกำหนดของการผลิตสเต็มเซลล์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาใหม่ ATMPs ด้วย