NOBLE กำไรครึ่งปีแรก 27 ลบ.ตุน Backlog 2.5 หมื่นลบ.
“โนเบิล” (NOBLE) รายงานผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกกำไร 27 ล้านบาท มั่นใจครึ่งปีหลังสดใส จาก 4โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ พร้อมตุน Backlog กว่า 2.5 หมื่นล้านบาทพร้อมขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ
นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม NOBLE เปิดเผยว่า ครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 3,402.1 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 27.2 ล้านบาท กำไรลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน จากการปรับกลยุทธ์ด้านราคาและไม่มีโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก
แม้จะเผชิญกับปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ท้าทาย แต่ยอดโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการแนวราบยังคงเติบโตได้ดี โดยมียอดโอนรวม 1,524 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะจากโครงการ โนเบิล เทอร์รา พระราม 9 - เอกมัย และ โนเบิล เอควา ริเวอร์ฟร้อนท์ ราษฎร์บูรณะ
ขณะที่ยอดขาย (Presale) ในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 2,289.3 ล้านบาท จากโครงการเด่นหลายแห่ง เช่น นิว เอปิค อโศก - พระราม 9 และ ดิ เอ็มบาสซี ไวร์เลส
โครงการใหม่หนุนครึ่งปีหลัง พร้อมเร่งเครื่องการตลาด
ในช่วงครึ่งปีหลัง NOBLE ตั้งเป้าการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยหนุนหลักจากการทยอยโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 4 แห่ง ที่มีมูลค่า Backlog รวมกว่า 8,600 ล้านบาท ซึ่งได้แก่ นิว อีโว อารีย์, โนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ, โนเบิล ครีเอท และ นิว ริเวอร์เรสต์ ราษฎร์บูรณะ โดยทุกโครงการมีความคืบหน้าการก่อสร้างแล้วกว่า 95% และพร้อมส่งมอบภายในไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เปิดตัวแคมเปญการตลาดเชิงรุก “Flash Nue จ่ายครึ่งเดียว อยู่ได้เลย” ใน 3 โครงการเพื่อกระตุ้นยอดขายและตอบสนองความต้องการของทั้งผู้ซื้อที่ต้องการอยู่อาศัยจริงและนักลงทุน
ปิดการขาย 3 โครงการใหญ่ พร้อมขยายตลาดต่างประเทศ
นายศิระ อุดล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ NOBLE กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ ได้ปิดการขายโครงการหลักครบทั้ง 3 แห่งแล้ว ได้แก่ นิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา, นิว โนเบิล รัชดา - ลาดพร้าว และ นิว ครอส คูคต สเตชัน รวมมูลค่ากว่า 4,700 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารงานและช่วยรักษาความแข็งแกร่งทางการเงิน
NOBLE ยังคงมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และได้ชำระคืนหนี้ครบตามกำหนดในครึ่งปีแรก ซึ่งช่วยลดแรงกดดันด้านสภาพคล่อง พร้อมทั้งเดินหน้าขยายฐานลูกค้าต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งในตลาดหลักอย่าง ไต้หวัน จีน และเมียนมา รวมถึงตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น รัสเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้ในระยะยาว