BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID ขุมพลัง PHEV ขับได้ไกลกว่า 1,000 กม.
BYD จัดทดลองขับ SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID ซีดานขนาดกลางรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ผสมผสานพลังขับเคลื่อนจากไฟฟ้าและน้ำมันอย่างลงตัว มาพร้อมดีไซน์เรียบหรู สไตล์ผู้บริหารยุคใหม่ โดดเด่นในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นระยะทางวิ่ง , เทคโนโลยี , หรืออัตราประหยัดพลังงาน และยังเป็นปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) อีกด้วย
BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID รุ่นพวงมาลัยขวา ประกอบที่โรงงานผลิตรถยนต์ บีวายดี ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นที่ 4 ของ บีวายดี ที่ผลิตในประเทศไทย คือ หลักฐานที่ยืนยันว่า บีวายดี เล็งเห็นศักยภาพในเรื่องของฝีมือการผลิตรถยนต์ระดับแนวหน้าของโลก และให้ความสำคัญในการลงทุนเริ่มสายการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ในประเทศไทย แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างมาตรฐานใหม่ ให้กับรถยนต์ซีดานขนาดกลางในไทย ด้วยการนำขุมพลัง DM-i SUPER HYBRID ซึ่งเป็นขุมพลัง PHEV มาใช้ในรถยนต์กลุ่มนี้เป็นรายแรก
หลังจากได้ทดลองขับ BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID ขุมพลัง PHEV อัดเทคโนโลยีมาเต็มระบบ โดยรวมสวย ดูดีทั้งภายนอกและภายใน ขับได้ไกลกว่า 1,000 กม. (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับขี่แต่ละบุคคล) ไม่ต้องกังวลหาที่ชาร์จ หรือถ้าจะให้ประหยัดขึ้นอีก ก็ยังสามารถชาร์จไฟได้ BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID เป็นรถสำหรับคนที่ยังไม่พร้อมใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่ง BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID เป็นทางเลือกที่คุ้มค่า ส่วนสมรรถนะการขับขี่อัตราเร่งมาไวแทบจะเหมือนรถยนต์ไฟฟ้า น้ำหนักพวงมาลัยค่อนข้างดี แม่นยำ ไม่เบาหรือหนักจนเกินไป ตัวรถค่อนข้างใหญ่หากเทียบกับรุ่นอื่นในตลาด เมื่อได้ลองขับแล้วให้ความคล่องตัว มุมมองในตำแหน่งคนขับ โปร่ง ดูง่าย แต่ยังมีสิ่งเล็กๆน้อยๆที่น่าจะปรับ คือ ตำแหน่งช่องวางแก้วด้านหน้า บริเวณคอนโซลกลาง มีขนาดแคบ ได้ทดลองวางแก้วทั้ง 2 ช่อง แก้วจะเบียดและเอียงออกทั้ง 2 ด้าน ส่วนไวเลสชาร์จตำแหน่งอยู่ลึก ได้ทดลองวางมือถือลงไปในช่องไวเลสชาร์จ และถ้าวางแก้วน้ำไปด้วย จะปิดช่องไวเลสชาร์จ ทำให้หยิบมือถือไม่สะดวก ส่วนของการวางตำแหน่งปุ่มกดต่างๆ จัดวางได้ดี ส่วนปุ่มกดฟฉุกเฉินน่าจะย้ายมาอยู่ด้านคนขับแทน จะทำให้ใช้งานสะดวกกว่า ส่วนของเบาะนั่งด้านหน้าพนักพิงออกแบบดีไซน์สปอร์ต แต่ตัวเบาะรองนั่งออกแบบทรงปกติ ทำให้นั่งนานๆ จะมีอาการเมื่อยล้า ด้านตำแหน่งคนผู้โดยสารด้านหลังกว้าง ตัวเบาะออกแบบระยะเอนหลังมาดี นั่งได้สบายกว่าด้านหน้า ที่เก็บสัมภาระด้านท้ายออกแบบมาใหญ่สามารถใส่ของได้มาก เบาะนั่งด้านหลังสามารถปรับพับได้แบบ 60:40 ถ้าขนสัมภาระที่ขนาดยาวสามารถพับเบาะลงมาได้ ส่วนอัตราน้ำมันที่ได้ทดลองขับขี่จริงอยู่ที่ 23 กม./ลิตร
BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) แบบ DM-i SUPER HYBRID หรือ Dual Mode-intelligent (DM-i) ระบบไฮบริดประสิทธิภาพสูง เน้นการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง ผสานเครื่องยนต์ Xiao Yun ขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ มอบกำลังรวมสูงสุด 160 กิโลวัตต์ แรงบิดรวมสูงสุด 300 นิวตันเมตร จึงมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำ และประสิทธิภาพการขับขี่ที่ดี ทั้งยังมี BYD Blade Battery ขนาด 18.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง** เอกสิทธิ์เฉพาะของ BYD ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง และรองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งภายนอก
นอกจากนั้น ยังมีระบบ VtoL สำหรับจ่ายกระแสไฟฟ้าให้เครื่องใช้ไฟฟ้าได้อีกด้วย BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID ตอบโจทย์ทั้งสมรรถนะและความประหยัด ด้วยอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 7.5 วินาที ซึ่งไวที่สุดในรถยนต์ระดับเดียวกัน และสามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วน เป็นระยะทางสูงสุด 120 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเมื่อแบตเตอรี่ต่ำ 3.8 L/100 km ทำให้รถสามารถขับขี่เป็นระยะทางรวมมากกว่า 1,000 กิโลเมตร*
BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID ยนตรกรรมที่สะท้อนความลงตัวเหนือระดับ ทั้งการออกแบบ ความสะดวกสบาย และสมรรถนะการขับขี่ ภายนอกโดดเด่นด้วยดีไซน์แบบสปอร์ตผ่านงานออกแบบภายใต้แนวคิด OCEAN AESTHETICS เส้นสายด้านข้างตัวรถที่เฉียบคมและทรงพลัง เสริมด้วยกระจังหน้าไร้กรอบแบบ DOT MATRIX พร้อมไฟหน้า Full LED แบบ STAR LIGHT และ ไฟท้ายรมดำ แบบ DOT MATRIX พร้อมแถบ LED แบบ Lightbar มาพร้อมระยะฐานล้อ 2,718 มิลลิเมตร ยาวที่สุดในรถยนต์ระดับเดียวกัน ทำให้มีห้องโดยสารกว้างขวาง ทั้งยังเพียบพร้อมด้วย BYD Intelligent Cockpit ซึ่งมีระบบปรับเกียร์แบบหมุนและรวบรวมปุ่มควบคุมต่างๆ ไว้ในตำแหน่งเดียวกัน ดีไซน์ลงตัวและใช้งานง่าย อีกทั้งยังมีหน้าจอเรือนไมล์ขนาด 8.8 นิ้ว และ หน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดียขนาด 12.8 นิ้ว** ใหญ่ที่สุดในรถยนต์ระดับเดียวกัน ในส่วนของความปลอดภัย มั่นใจด้วยโครงสร้างตัวถังแข็งแกร่ง พร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะครบครัน
BYD SEAL 5 DM-i SUPER HYBRID รุ่น PREMIUM มีสีตัวถังให้เลือก 3 สี ประกอบด้วย สีขาว ARCTIC WHITE, สีดำ QUANTUM BLACK และ สีเทา HARBOUR GREY** พร้อมมี 2 รุ่นย่อย ให้เลือกระหว่างรุ่น STANDARD ซึ่งพร้อมเริ่มส่งมอบภายในปีหน้า และ รุ่น PREMIUM ราคาปกติเริ่มต้น 769,000 บาท ราคา Early Bird 699,900 บาท (ตั้งแต่วันที่ 8 ส.ค. 68 – 30 ก.ย. 68) ซึ่งพร้อมส่งมอบทันที
โดย นรินทร โชติภิรมย์กุล