เริ่มต้นถึงปัจจุบันวิวัฒนาการ ยาต้านไวรัสHIV หมดยุคนอนรอความตายที่วัด?
จากจุดเริ่มสู่ปัจจุบัน วิวัฒนาการ ยาต้านไวรัส HIV ผู้ป่วยสามารถอยู่ได้จนแก่เฒ่า การแพทย์วิวัฒน์ สังคมเข้าใจไม่รังเกียจ หมดยุคนอนรอความตายที่วัด ?
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s โลกต้องเผชิญกับโรคประหลาดที่แพทย์ไม่เคยเห็นมาก่อน ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นชายรักชายและผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น ซึ่งมีอาการติดเชื้อรุนแรงและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
ในปี 1981 ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) รายงานกลุ่มอาการปอดบวมจากเชื้อ Pneumocystis carinii ในชายหนุ่มสุขภาพดีหลายราย เป็นสัญญาณแรกของโรคที่ต่อมาจะถูกเรียกว่า โรคเอดส์ (AIDS)
ในปี 1983 นักวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศสที่สถาบันปาสเตอร์ นำโดย Luc Montagnier และ Françoise Barré-Sinoussi แยกเชื้อไวรัสต้นเหตุได้สำเร็จ และตั้งชื่อว่า LAV (Lymphadenopathy-Associated Virus) ขณะที่สหรัฐฯ เรียกว่า HTLV-III ก่อนจะตกลงใช้ชื่อเดียวกันว่า HIV (Human Immunodeficiency Virus) ในเวลาต่อมา
ยุคแรกนี้ HIV เท่ากับคำพิพากษาประหารชีวิต ผู้ติดเชื้อมักเสียชีวิตภายในไม่กี่ปีหลังติดเชื้อ และต้องเผชิญการตีตราจากสังคมอย่างหนัก หลายคนในประเทศไทยถูกส่งไป "นอนรอความตาย" ที่วัดป่าหรือสถานสงเคราะห์ เพราะครอบครัวและชุมชนไม่กล้าดูแล
จุดเริ่มการรักษา – AZT (1987)
ปี 1987 องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) อนุมัติ Zidovudine (AZT) หรือชื่อการค้า Retrovir เป็นยาต้าน HIV ตัวแรกของโลก จัดอยู่ในกลุ่ม Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NRTIs) โดยเลียนแบบสารพันธุกรรมของไวรัสและขัดขวางการสร้าง DNA ทำให้ไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้
แม้ AZT จะช่วยยืดชีวิตผู้ป่วย แต่ก็มีข้อจำกัด
• ต้องกินทุก 4 ชั่วโมง (วันละ 5 ครั้ง)
• ผลข้างเคียงสูง เช่น โลหิตจาง คลื่นไส้ ปวดศีรษะ
• ดื้อยาเร็วเมื่อใช้เดี่ยว ๆ (monotherapy)
อย่างไรก็ตาม AZT คือหลักฐานว่ามนุษย์สามารถสร้างยาต้าน HIV ได้จริง และเปิดประตูสู่การค้นคว้ากลุ่มยาใหม่ ๆ
ยุคพลิกเกม – HAART (1996)
กลางทศวรรษ 1990s นักวิจัยค้นพบว่าการใช้ ยาต้านหลายชนิดร่วมกัน สามารถกดไวรัสได้ดีกว่าการใช้ยาเดี่ยว แนวทางนี้ถูกเรียกว่า Highly Active Antiretroviral Therapy (HAART) ซึ่งมักประกอบด้วย
• ยากลุ่ม NRTIs (เช่น AZT, lamivudine)
• ยากลุ่ม Non-Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors (NNRTIs)
• ยากลุ่ม Protease Inhibitors (เช่น indinavir, ritonavir)
การประกาศใช้ HAART ในปี 1996 ถือเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์โรคเอดส์
• ปริมาณไวรัสในเลือด (viral load) ลดลงจนตรวจไม่พบ
• ภูมิคุ้มกัน (CD4 count) ฟื้นตัว
• อัตราการตายในประเทศพัฒนาแล้วลดลงอย่างรวดเร็ว
แม้จะต้องกินยาหลายเม็ด วันละหลายครั้ง และมีผลข้างเคียง เช่น ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน หรือการเปลี่ยนรูปร่าง (lipodystrophy) แต่ผู้ติดเชื้อจำนวนมากกลับมามีชีวิตและทำงานได้ตามปกติ
จาก HAART สู่ ART ที่ง่ายและปลอดภัยขึ้น (2000s–2010s)
หลังจากปี 2000 เทคโนโลยีการผลิตยาพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
• Fixed-Dose Combinations: รวมยาหลายตัวในเม็ดเดียว ลดจำนวนเม็ดยาที่ต้องกิน
• ยารุ่นใหม่ เช่น Integrase Strand Transfer Inhibitors (INSTIs) อย่าง raltegravir และ dolutegravir มีฤทธิ์แรง ออกฤทธิ์เร็ว และดื้อยาน้อย
• ลดผลข้างเคียงที่รุนแรงของยาเก่า เช่น ปัญหากระดูกพรุนหรือโรคไตจาก tenofovir รุ่นแรก
องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำให้เริ่ม ART (Antiretroviral Therapy) ทันทีหลังวินิจฉัย ไม่ต้องรอให้ภูมิคุ้มกันต่ำ เพื่อป้องกันความเสียหายของระบบภูมิคุ้มกันและลดการแพร่เชื้อ
ยุคป้องกันการแพร่เชื้อ – U=U และ PrEP
งานวิจัย HPTN-052 ในปี 2011 แสดงให้เห็นว่าผู้ติดเชื้อที่กิน ART จนตรวจไม่พบไวรัส ไม่แพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์ สิ่งนี้กลายเป็นแคมเปญระดับโลก U=U (Undetectable = Untransmittable) ซึ่งช่วยลดความหวาดกลัวและอคติ
ในด้านการป้องกันสำหรับคนที่ยังไม่ติดเชื้อ มีการใช้ PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) เช่น tenofovir/emtricitabine ทุกวัน ลดความเสี่ยงติดเชื้อทางเพศได้กว่า 90%
นวัตกรรมปัจจุบันและอนาคต
• Long-Acting Injectables : เช่น cabotegravir/ rilpivirine ฉีดทุก 2 เดือน ลดภาระการกินยา
• การวิจัย broadly neutralizing antibodies (bNAbs) เพื่อใช้รักษาหรือป้องกัน
• ความพยายามรักษาหายขาด เช่น กรณี "Berlin Patient" (Timothy Ray Brown) และ "London Patient" ที่หายหลังปลูกถ่ายสเต็มเซลล์
การตีตราและวิกฤติทางสังคมในยุคแรก
ในไทย ช่วงปลายทศวรรษ 1980s ถึงต้น 1990s ข่าวการติดเชื้อ HIV ถูกนำเสนอในสื่อแบบสร้างความตื่นตระหนก มีคำเรียกอย่าง "โรคมฤตยู" หรือ "โรคสวาทมรณะ" ทำให้เกิดความหวาดกลัวและรังเกียจ
ผู้ติดเชื้อมักถูกมองว่าเป็น "คนผิด" หรือ "คนสำส่อน" นำพาไปสู่การถูกปฏิเสธการจ้างงานและการรักษาในโรงพยาบาล หลายคนเสียชีวิตทั้งจากโรคและจากการถูกทอดทิ้งทางสังคม
แต่ปัจจุบัน ด้วยความรู้เรื่อง U=U และ PrEP ทำให้สังคมเข้าใจมากขึ้น HIV ถูกมองเป็นโรคเรื้อรังที่ควบคุมได้ ไม่ต่างจากเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง ถึงกระนั้น อคติยังคงอยู่ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะที่ขาดการเข้าถึงข้อมูล
หมดยุคนอนรอความตายที่วัด หรือยัง?
จากจุดเริ่มที่ HIV ไม่ต่างจากคำพิพากษาประหารชีวิต ปัจจุบันผู้ติดเชื้อที่ได้รับ ART อย่างต่อเนื่องมีอายุขัยใกล้เคียงคนทั่วไป และไม่แพร่เชื้อหากตรวจไม่พบไวรัส ความก้าวหน้าทางการแพทย์จึงไม่เพียงยืดชีวิต แต่ยังเปลี่ยนภาพลักษณ์ของโรคในสายตาสังคม การนอนรอความตายที่วัด หมดความหวัง หมดอนาคต ถึงคราวยุติลงในศตวรรษที่ 21 ใช่หรือไม่?
ความเห็นจาก หมอแล็บแพนด้า ระบุว่า"ปัจจุบันมียาต้านเอชไอวี สามารถอยู่ได้จนแก่เฒ่า ผู้ติดเชื้อจะไม่ป่วยเป็นโรคเอดส์ ทำไมจึงพากันไปนอนรอความตายที่วัด ช่วยกันบอกต่อความรู้นี้ครับ"
นี่อาจเป็นอีกเสียงที่ยืนยันได้ว่า จากคำพิพากษาประหารชีวิตสู่โรคที่ควบคุมได้ และความท้าทายต่อไป คือการทำให้ทุกคนบนโลกเข้าถึงการตรวจและการรักษา ลดอคติ และสนับสนุนการวิจัยเพื่อการรักษาหายขาดอย่างแท้จริง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- CDC. Pneumocystis Pneumonia — Los Angeles. MMWR. 1981;30(21):1–3.
- Barré-Sinoussi F, et al. Isolation of a T-lymphotropic retrovirus from a patient at risk for acquired immune deficiency syndrome (AIDS). Science. 1983;220:868–871.
- Broder S. The development of antiretroviral therapy and its impact on the HIV-1/AIDS pandemic. Antiviral Res. 2010;85(1):1–18.
- Palella FJ Jr, et al. Declining morbidity and mortality among patients with advanced human immunodeficiency virus infection. N Engl J Med. 1998;338:853–860.
- WHO. Consolidated guidelines on the use of antiretroviral drugs for treating and preventing HIV infection. 2016.
- Cohen MS, et al. Prevention of HIV-1 infection with early antiretroviral therapy. N Engl J Med. 2011;365:493–505.
- Grant RM, et al. Preexposure chemoprophylaxis for HIV prevention in men who have sex with men. N Engl J Med. 2010;363:2587–2599.
- Gupta RK, et al. HIV-1 remission following CCR5Δ32/Δ32 haematopoietic stem-cell transplantation. Nature. 2019;568:244–248.