รพ.รัฐเปิด ‘คลินิกพรีเมียม’ นำร่อง 10 แห่ง รับบริการเร็วขึ้น - ไม่ฟรี
รายรับ รพ.ภาครัฐโดยเฉพาะสังกัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ในส่วนของค่าบริการดูแลรักษาพยาบาล จะมาจาก 3 ส่วนหลัก คือ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บัตรทอง 30 บาท) มีผู้อยู่ในสิทธิราว 47 ล้านคน ,ประกันสังคม มีผู้ประกันตน(มาตรา 33,39,40) ราว 24 ล้านคน และสวัสดิการข้าราชการราว 4.8 ล้านคน ซึ่งเป็นการให้บริการรักษาฟรีตามสิทธิ
ทว่า ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา เสียงสะท้อนจากผู้รับบริการ รพ.ภาครัฐอย่างหนาหูเรื่อง “ความแออัด และระยะเวลารอคอยกว่าจะได้รับบริการนั้นนาน” จนผู้มีกำลังจ่ายจำนวนมาก เลือกที่จะจ่ายเงินเองในการซื้อประกันสุขภาพเอกชนเพิ่มเติม หรือเข้ารับบริการในรพ.เอกชน แทนที่จะรอรับบริการฟรีตามสิทธิใน รพ.รัฐ
ขณะที่เสียงจากฝ่าย รพ.รัฐที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ถึงการได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลต่ำกว่าต้นทุนจริง จนส่งผลกระทบต่อสถานะเงินบำรุงของ รพ. ที่บางแห่งติดลบ และบางแห่งวิกฤติทางการเงินระดับ 7(สีแดง) ซึ่งมีข้อเสนอหนึ่งในการแก้ปัญหา คือ “การให้ประชาชนสิทธิบัตรทองที่มีศักยภาพสามารถร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ตามความสมัครใจ” แต่ยังมีข้อโต้แย้งไม่เห็นด้วยจากหลายภาคส่วน
“คลินิกพรีเมียม” รับบริการเร็วขึ้น
แนวนโยบายหนึ่งที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กำลังขับเคลื่อน คือ การจัดบริการคลินิกรูปแบบพิเศษในเวลา หรือ คลินิกพรีเมียม (Premium Clinic) ใน รพ.ที่มีผู้มารับบริการจำนวนมากจนเกิดความแออัด มีวัตถุประสงค์ คือ
1.เพิ่มทางเลือกแก่ผู้รับบริการ ผู้ที่มีรายได้ และชาวต่างชาติ มาใช้บริการในเวลาราชการ เพื่อลดความแออัด ลดระยะเวลารอคอย
2.เพิ่มศักยภาพหน่วยบริการภาครัฐในการดูแลผู้ป่วย
3.ดำรงบุคลากรให้อยู่ในระบบ สร้างแรงจูงใจให้บุคลากรในด้านค่าตอบแทน เพื่อให้คงอยู่ในระบบบริการสุขภาพของรัฐอย่างต่อเนื่อง
และ4.สร้างความมั่นคงทางการเงินแก่หน่วยบริการ เสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินให้กับหน่วยบริการ
การดำเนินการเรื่องคลินิกพรีเมียม สธ.มีการตั้งคณะกรรมการอำนวยการ และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน ที่สำคัญต้องมีการออกระเบียบ/ประกาศ สธ. เกี่ยวกับระเบียบ Premium Clinic , ประกาศอัตราค่าบริการ ,ประกาศอัตราค่าตอบแทน (ภายใต้หลักเกณฑ์ P4P) และประกาศหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขมารองรับให้หน่วยบริการ ซึ่งสธ.คาดหวังผลลัพธ์ “คลินิกพรีเมียม”
- จะทำให้ลดเวลารอคอยของผู้รับบริการภาคปกติ และผู้รับบริการคลินิกพรีเมียม
- รพ.มีรายรับเพิ่มขึ้น นำไปพัฒนาระบบพื้นฐานในรพ.ให้ดียิ่งขึ้น
- ผู้รับบริการมีความพึงพอใจเพิ่มมากขึ้น
- และบุคลากรในระบบราชการมีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถดำรงอยู่ในระบบภาครัฐต่อไป
รพ.สธ.นำร่อง 10 แห่ง
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีแนวคิดเรื่อง คลินิกบริการพิเศษในเวลาราชการ หรือ คลินิกพรีเมียม (Premium Clinic)ว่า ให้พิจารณาระเบียบกฎหมายถ้าไม่มีการขัดข้องให้ดำเนินการได้ทันที เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดการวิพากษ์ว่าเงินจากบัตรทอง 30 บาทขาดทุนแล้วจะต้องให้ประชาชนร่วมจ่าย(Co-payment)ค่ารักษาพยาบาล ซึ่งจะไม่ให้มีการร่วมจ่าย แต่ส่วนที่เพิ่มศักยภาพให้การรักษาพยาบาลให้เหมือนกันทั้งประเทศก็ควรจะดำเนินการ
“เรื่องคลินิกพรีเมียมนั้น รพ.สังกัดมหาวิทยาลัยก็สามารถดำเนินการได้แล้ว ส่วนของรพ.สังกัดสธ.ในจังหวัดแออัด ก็จะให้คนที่พร้อมจ่ายเงินเองสามารถมารับบริการได้ที่คลินิกพรีเมียม แต่จะต้องไม่ขัดกับกฎหมาย หากจังหวัดไหนที่มีคนวิพากษ์วิจารณ์มาก ไม่ต้องทำก็ได้ ก็ให้ไปดูว่ารพ.ศิริราชปิยมหาราชการุณย์มีแนวทางทำอย่างไร ก็ให้ไปลอกมา” นายสมศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ ในการประชุมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขครั้งล่าสุด มีการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการ โดยในปี 2568 จะมีหน่วยบริการนำร่อง “คลินิกพรีเมียม” 10 แห่ง ได้แก่ ดำเนินการเปิดแล้วเมื่อเดือนก.ค. รพ.พหลพลพยุหเสนา จ.กาญจนบุรี รพ.พระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี , ส่วน รพ.มหาราชนครราชสีมา รพ.นครพิงค์ จ.เชียงใหม่ รพ.ลำปาง รพ.พัทยาปัทมคุณ จ.ชลบุรี รพ.นครปฐม รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช จะเปิดบริการในเดือนส.ค. และคาดจะเปิดในเดือนต.ค. ที่รพ.วชิระภูเก็ต และรพ.ศูนย์การแพทย์นนทบุรี
คลินิกพรีเมียม รพ.พหลฯ
ขณะที่ นพ.นิสิต ศรีสมบูรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จ.กาญจนบุรี ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า จำนวนผู้ป่วยนอกมาใช้บริการที่ รพ.พหลพลพยุหเสนา วันละ 2,500 - 3,000 คน ซึ่งคลินิกพรีเมียมเปิดให้บริการบริเวณชั้น 8 อาคารสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช(ญสส.) เบื้องต้นมีห้องตรวจผู้ป่วยนอก 2 ห้อง ให้บริการเวลาช่วงบ่ายของทุกวัน โดยแยกบริการออกจากห้องตรวจทั่วไปอย่างชัดเจน มีห้องผ่าตัด ห้องทำหัตถการ และห้องผู้ป่วยใน 20 เตียง เชื่อว่าจะช่วยลดความแออัด และระยะเวลารอคอยของผู้ป่วย
การให้บริการที่คลินิกพรีเมียม ยังไม่รับการวอล์กอิน(Walk In) ผู้ป่วยจะต้องนัดหมายมาก่อนล่วงหน้า โดยการเข้าไปนัดหมายผ่านระบบเว็บไซต์ของ รพ. ซึ่งคลินิกพรีเมียมจะมุ่งเน้นการให้บริการโรคที่มีความจำเป็น ไม่เร่งด่วน และคนไข้ต้องรอเข้ารับการรักษานาน ในกลุ่มผ่าตัด เช่น โรคอ้วน ผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ และผ่าตัดขนาดเล็กโดยการใช้กล้องเป็นหลัก และกลุ่มไม่ผ่าตัดจะเป็นโรคทั่วไป
ขั้นตอนการรับบริการกรณีกลุ่มผ่าตัด เริ่มจากการติดต่อเจ้าหน้าที่ผ่านช่องทาง Line official เพื่อทำการนัดหมายการตรวจหรือเข้ารับบริการ ,ยื่นบัตรนัดที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียน คลินิกพรีเมียม, เข้ารับการตรวจ พบแพทย์ เจาะเลือด/เอกซเรย์/ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัด ,นัดหมายทำผ่าตัด โดยเข้ารับการผ่าตัดที่ห้องผ่าตัดชั้น 4 อาคาร 100 ปีสาธารณสุข และพักฟื้นที่ห้องพักผู้ป่วยพรีเมียม (Premium Ward) และกลับบ้าน
“คลินิกพรีเมียม รพ.พหลฯ เปิดให้บริการแล้ว ซึ่งผู้ป่วยจะรับรู้ว่าการรับบริการที่จุดนี้จะต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ขณะนี้ รพ.ยังไม่ได้เก็บเงินจากผู้ป่วยที่มารับบริการ ต้องรอให้มีประกาศในเรื่องนี้จากกระทรวงสาธารณสุขออกมาก่อนว่าจะให้ รพ.เก็บเงินส่วนไหน อย่างไรได้”นพ.นิสิต กล่าว
นพ.นิสิต มองว่า คลินิกพรีเมียมมีข้อดีต่อประชาชนที่มีกำลังทรัพย์ที่จะจ่ายเงินเอง ในแง่ของการได้เข้าถึงบริการที่อยู่ในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปรับบริการยังหน่วยบริการนอกพื้นที่ นอกจากนี้ จะเป็นช่องทางหนึ่งของหน่วยบริการที่จะสามารถเพิ่มรายรับ นำมาพัฒนายกระดับการให้บริการของ รพ. เพื่อรองรับการดูแลประชาชนที่มาใช้บริการรักษาพยาบาลที่ รพ.พหลฯในส่วนอื่นๆ ได้มากขึ้น
เทียบเคียงกับคลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาราชการที่ รพ.ดำเนินการอยู่ก่อนหน้านี้แล้วนั้น นพ.นิสิต กล่าวว่า สำหรับคลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลา จะให้บริการนอกเวลาราชการทั้งหมด ในกลุ่มที่เป็นการผ่าตัด รพ.จะคิดค่ารักษาเป็นแพ็กเกจ และผู้รับบริการจ่ายเงินเอง 100 % ส่วนกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ผ่าตัด จะเสียเงินเฉพาะค่าธรรมเนียมทางการแพทย์ตามที่กำหนด ส่วนค่ายาจะได้รับตามสิทธิรักษาฟรีของแต่ละคน ส่วนคลินิกพรีเมียมในเวลานั้นต้องรอประกาศจากกระทรวงฯในเรื่องการเก็บเงิน
หนึ่งในทางออกหารายได้ให้ รพ.ภาครัฐ
ด้าน นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์ ผอ.รพ.ราชบุรี และอดีตประธานชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป(รพศ./รพท.) กล่าวว่า การมีคลินิกพรีเมียมใน รพ.สังกัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)นั้น เรื่องนี้มีตัวอย่างแนวทางการออกระเบียบที่สามารถดำเนินการได้ อย่างกรณีของ รพ.ศิริราชปิยมหาราชการุณย์ ภายใต้คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดลที่ดำเนินการมาหลายปี
“ตรงนี้จะเป็นทางออกหนึ่งของ รพ.ในภาครัฐมีช่องทางที่เป็นแหล่งรายรับ มาจ่ายค่าตอบแทน และยาที่ได้ไม่เพียงพอ ถือเป็นทางออก เพียงแต่เรื่องระเบียบนั้น กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ใช่ให้คนทำงานต้องเสี่ยง ต้องดูแลบุคลากรด้วย” นพ.อนุกูล กล่าว
อนึ่ง กองเศรษฐกิจสุขภาพ และหลักประกันสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) นำเสนอรายงานสถานการณ์ทางการเงิน ของหน่วยบริการสังกัดสป.สธ. ไตรมาส 3 ของปีงบประมาณ 2568 พบว่า เงินบำรุงหลังหักภาระผูกพัน ปีงบประมาณ 2568 ณ เดือนมิถุนายน อยู่ที่ 35,958.7 ล้านบาท มี 326 แห่ง เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 จำนวน 108 แห่ง และมากกว่าไตรมาส 3 ของปีก่อนหน้า 48 แห่ง
จำนวนเงินบำรุงติดลบ 8,287.9 ล้านบาท มากกว่าไตรมาส 2 ที่ติดลบ 5,718.1 ล้านบาท และมากกว่าไตรมาส 3 ของปีก่อนหน้าที่ติดลบ 6,751.8 ล้านบาท ขณะที่มี รพ. 573 แห่ง เงินบำรุงเป็นบวก 44,246.5 ล้านบาท
เมื่อพิจารณาระดับวิกฤติทางการเงินของ รพ. ไตรมาส 3 ของปีงบประมาณ 2568 พบว่า ระดับ 0 จำนวน 337 แห่ง ระดับ 1 จำนวน 325 แห่ง ระดับ 2 จำนวน 79 แห่ง ระดับ 3 จำนวน 56 แห่งระดับ 4 จำนวน 27 แห่ง ระดับ 5 จำนวน 11 แห่ง ระดับ 6 จำนวน 29 แห่ง และระดับ 7 (สีแดง) จำนวน 35 แห่ง เป็นรพ.ชุมชน(ระดับอำเภอ) 34 แห่ง และรพ.ศูนย์ 1 แห่ง
พิสูจน์อักษร….สุรีย์ ศิลาวงษ์