กรมการแพทย์! ลุยปั้นคน-เทคโนโลยีขั้นสูง ดันไทยติด Top 3 เอเชีย
“กรมการแพทย์” เป็นหนึ่งในหน่วยงานสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ที่มีหน่วยงานในสังกัดที่จัดตั้งขึ้นตามกฏกระทรวง จำนวน 21 หน่วยงาน หน่วยงานที่ขึ้นตรงต่ออธิบดีกรมการแพทย์ 2 กลุ่ม หน่วยงานภายใต้กำกับของสถาบันหลักในภูมิภาค ซึ่งคณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวง (อ.ก.พ. กระทรวง)ให้ความเห็นชอบ 17 หน่วยงาน และหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเป็นการภายใน 3 หน่วยงาน
ปัจจุบันกรมการแพทย์ มีเป้าหมายทั้งระยะสั้น 5 ปี และระยะสั้น 20 ปี เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานวิชาชีพอย่างเสมอภาค และตั้งเป้าให้การแพทย์ไทยเป็นหนึ่งใน 3 ของเอเชีย
จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การใช้ชีวิตของผู้คนที่ต้องดิ้นรนให้อยู่รอดในยุคแห่งการแข่งขัน ภาวะเศรษฐกิจ และวิกฤตความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ผู้คนเผชิญกับความเครียด และปัญหาสุขภาพมากมายที่มาจากพฤติกรรมทั้งเรื่องการกิน การนอน หรือสภาพจิตใจ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์ มุ่งเน้นการทำให้ผู้คนมีสุขภาพดี มีความสุข และมีระบบสุขภาพที่ยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
สธ. เปิดตัวรถตรวจสุขภาพสูงวัยเคลื่อนที่ บริการผู้สูงอายุ 6 ด้าน
ก้มเล่นมือถือมากเกินไป กระดูกคอเสื่อม เช็ก 7 อาการของโรค
“กรมการแพทย์”ลดค่าใช้จ่าย หารายได้เพิ่ม
“นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน” อธิบดีกรมการแพทย์ ได้ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าอดีตกระทรวงสาธารณสุขถูกมองว่าเป็นกระทรวงที่ใช้เงินจำนวนมาก โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นทุกปี ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน จึงได้ให้แนวทางใหม่แก่กรมการแพทย์ ในการปรับบทบาทสู่การเป็น "เศรษฐกิจสุขภาพ" แนวคิดหลักมี 2 ประการ คือ การลดค่าใช้จ่าย และการหารายได้เพิ่มขึ้น
“แนวทางในการลดค่าใช้จ่ายจะประกอบด้วยการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด เช่น การเพิ่มรอบการใช้เครื่องฉายรังสีที่มีราคาสูง รวมถึงการส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรไทยเพื่อทดแทนยาแผนตะวันตก ส่วนการเพิ่มรายได้มุ่งเน้นเพิ่มการเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ให้กับผู้ป่วย เช่น การเปิดคลินิกนอกเวลาราชการ โดยเฉพาะในทำเลทอง อย่าง กลุ่มโรงพยาบาลทุ่งพญาไท ประกอบด้วย 7 โรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลราชวิถี, สถาบันโรคผิวหนัง, สถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติมหาราชินี, สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติฯ ,สถาบันประสาทวิทยา, สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และโรงพยาบาลสงฆ์ เป็นต้น โดยเน้นรองรับผู้ป่วยที่มีกำลังจ่ายแต่ไม่ต้องการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนที่อาจจะมีค่าใช้จ่ายสูง”
สำหรับการบริหารจัดการเครือข่ายโรงพยาบาลนั้น แม้จะการจัดแบ่งโรงพยาบาลในกลุ่มเดียวกัน เช่น กลุ่มทุ่งพญาไท หรือกลุ่มทุ่งแคราย (สถาบันโรคทรวงอก, สถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ, สถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพแห่งชาติ, สถาบันการแพทย์ด้านตา โรงพยาบาลแม่ตาประชารัฐ) แต่ทุกโรงพยาบาลจะต้องทำงานร่วมกัน สามารถส่งต่อผู้ป่วยและกระจายผู้ป่วยยามจำเป็นได้ เพื่อแบ่งเบาภาระ ลดความแออัดในโรงพยาบาล
“ศูนย์ความเป็นเลิศ”ยกระดับสุขภาพไทย
แม้โรงพยาบาลรัฐจะเผชิญกับปัญหาความแออัด แต่ “กรมการแพทย์” มุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพการบริการและเปลี่ยนภาพลักษณ์ โดยมุ่งเน้นการให้บริการที่เป็นเลิศด้วยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และระบบการฝึกอบรมที่ทำให้การดูแลผู้ป่วยมีความละเอียดและแม่นยำ
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่ากรมการแพทย์ได้เริ่มก่อตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence) มาตั้งแต่ปี 2547 โดยปัจจุบันมีทั้งหมด 19 สาขา และมีสาขาที่เพิ่มขึ้นล่าสุด 4 สาขา ได้แก่ เวชศาสตร์การกีฬา, เวชศาสตร์ฉุกเฉิน, เวชศาสตร์พันธุกรรม และด้านสุขภาพเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสุขภาพเพศนั้น โรงพยาบาลเลิศสินสามารถทำการผ่าตัดแปลงเพศได้กว่า 300 รายการ สร้างรายได้มหาศาล
“ศูนย์ความเป็นเลิศเหล่านี้ไม่ได้มุ่งแสวงหากำไรเป็นหลัก แต่มีบทบาทสำคัญในการสร้างองค์ความรู้, นำเข้าเทคโนโลยีการแพทย์ขั้นสูง และการกำหนดมาตรฐานการบริการทางการแพทย์ นอกจากนี้ ศูนย์ความเป็นเลิศของไทยยังได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ อาทิ เกี่ยวกับโรคไต WHO ให้การรับรองและยกย่องให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการรักษาโรคไต , โรคมะเร็ง องค์กรระหว่างประเทศด้านโรคมะเร็งให้ความสำคัญกับประเทศไทยในการเป็นผู้นำของกลุ่มประเทศอาเซียนในการจัดเก็บฐานข้อมูลมะเร็งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ c]t โรคหลอดเลือดสมอง สถาบันประสาทวิทยาได้รับรางวัลระดับโลกในด้านการจัดเก็บข้อมูลโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) เป็นต้น”
พัฒนาคน ลงทุนเทคโนโลยีขั้นสูง
อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวอีกว่าในส่วนของการพัฒนาคนและเทคโนโลยีขั้นสูงนั้น กรมการแพทย์มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีขั้นสูง โดยได้รับงบประมาณลงทุนปีละประมาณ 1 พันล้านบาท ซึ่งใช้ในการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ การสร้างสถาบันมะเร็งแห่งชาติแห่งใหม่ที่บางขุนเทียนด้วยงบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งที่เพิ่มขึ้นตามสถิติ
นอกจากนี้ยังมีการติดตามเทรนด์ทางการแพทย์ระดับโลก เช่น การรักษาด้วยโปรตอนและหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด โดยโรงพยาบาลราชวิถีได้รับมอบหมายให้เป็นศูนย์ฝึกอบรมด้านการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ เพื่อเตรียมรับมือกับโรคอุบัติใหม่และโรคซับซ้อน
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวด้วยว่ากรมการแพทย์มีสถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์ ทำหน้าที่ศึกษาเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การรักษาด้วยพันธุกรรม (genetic) และเซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ทั้งนี้ กรมการแพทย์ยังมีเป้าหมายในยุทธศาสตร์ 20 ปี ที่จะทำให้คนไทยมีสุขภาพดีและอายุยืนยาว โดยตั้งเป้าหมายให้การแพทย์ประเทศไทยเป็น 1 ใน 3 ของเอเชีย
“บทบาทหลักของกรมการแพทย์ ไม่ได้มุ่งเน้นที่การทำกำไร แต่เป็นการทำตามพันธกิจหลัก 3 ข้อ ได้แก่ สร้างและถ่ายทอดองค์ความรู้ แสวงหาเทคโนโลยีการแพทย์ขั้นสูง เพื่อตอบโจทย์การดูแลรักษาประชาชน และพัฒนามาตรฐานการบริการทางการแพทย์ และส่งต่อมาตรฐานสู่โรงพยาบาลในต่างจังหวัด โดยต้องทำให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีและอายุยืนยาว”
ป้องกันดีกว่ารักษา ทุกคนต้องดูแลสุขภาพ
กรมการแพทย์มุ่งเน้นการดูแลผู้ป่วยไทยเป็นหลัก โดยใช้สิทธิการรักษาพยาบาลพื้นฐาน ได้แก่ สปสช. (30 บาท), ประกันสังคม, และข้าราชการ ส่วนในกลุ่มผู้ป่วยต่างชาตินั้น มีการเข้ามาใช้บริการโรงพยาบาลและสถาบันการแพทย์จำนวนหนึ่ง โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ภูฏาน เข้ามารับบริการด้วย อีกทั้ง ขณะนี้มีการปรับปรุงภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลรัฐ ที่เน้นความสะดวกสบาย การใช้เทคโนโลยีลดความแออัด และที่สำคัญ คือ คนไทยสามารถวอล์คอินเข้ารับการรักษาได้ทันที ซึ่งแตกต่างจากการแพทย์หลายประเทศทั่วโลกที่ต้องรอคิวหรือจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเข้าพบแพทย์
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวด้วยว่ากรมการแพทย์ยืนยันการพัฒนาในทุกทิศทางอย่างต่อเนื่อง แม้การปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือเครื่องมืออาจไม่รวดเร็วเท่าเอกชนเนื่องจากระเบียบราชการ แต่ประชาชนจะได้รับบริการจากทีมแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถสูง มีระบบการฝึกอบรมแพทย์และพยาบาลที่ละเอียดอ่อน ทำให้ข้อมูลผู้ป่วยได้รับการกลั่นกรองอย่างดีจากอาจารย์แพทย์
“สิ่งสำคัญที่สุดที่กรมการแพทย์อยากฝากถึงประชาชนคือ "การป้องกันดีกว่าการรักษา" การดูแลสุขภาพตนเองอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็นสูงสุด แต่หากเจ็บป่วย ก็ขอให้รีบเข้ามารับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะการดูแลสุขภาพเป็นภาระหน้าที่ของทั้งแพทย์และตัวผู้ป่วยเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งคาดว่าจะมีผู้สูงอายุถึง 1 ใน 5 ของประชากรไทย หากผู้สูงอายุมีความแข็งแรงและสามารถสร้างงานหรือดูแลตนเองได้ จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหาศาล”