ออกกำลังกาย ไม่ใช่แค่ร่างกายฟิต แต่สมอง-ทักษะสื่อสาร ก็ฟิตด้วย
รู้หรือไม่? “การออกกำลังกาย” ไม่ใช่แค่ทำให้ร่างกายฟิต แต่คืออาวุธลับของการสื่อสารที่ทรงพลัง นักวิทยาศาสตร์ด้านการทำงานของสมอง ชี้ว่า การออกกำลังกายสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตมากกว่าที่คิด ไม่ใช่แค่ทำให้รูปร่างคุณดีขึ้น แต่ยังเปลี่ยนให้คุณมีความมั่นใจ เปลี่ยนวิธีคิด การสื่อสาร และเส้นทางชีวิตใหม่ให้ดีกว่าที่เคย
ยกตัวอย่างเคสของ "ดัก บ็อปสต์" (Doug Bopst) ในปี 2008 เขาถูกจับในคดียาเสพติดและต้องใช้ชีวิตอยู่ในห้องขัง เขาติดฝิ่นอย่างหนัก ร่างกายทรุดโทรมจนไม่สามารถแม้แต่จะเดินขึ้นบันได หรือวิดพื้นได้เลยสักครั้งเดียว แต่หลังจากได้ออกกำลังกายอย่างมีวินัยเพียง 90 วัน ไม่นานจากนั้น เขาสามารถวิ่งระยะทาง 1 ไมล์ และวิดพื้น 10 ครั้งได้อย่างสบาย
..ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เขาค้นพบว่า ทั้งทางร่างกาย สมอง ความมั่นใจ และเส้นทางชีวิตของตัวเองได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะปัจจุบันนี้ ดักเป็นโค้ชฟิตเนส นักเขียน และนักพูดที่ประสบความสำเร็จ พร้อมกับเป็นเจ้าของรายการพอดแคสต์ The Adversity Advantage ซึ่งเขาใช้ประสบการณ์ชีวิตของตนเอง มาถ่ายทอดบทเรียนสำคัญให้แก่ผู้ฟัง
เขาย้ำว่า “การออกกำลังกายไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ แต่คือกุญแจไขศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ”
ไม่ว่าจะเริ่มจากจุดไหน ก็เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้จริง!
ก่อนหน้านี้ชีวิตดักเหลวแหลก ทั้งติดยา ติดคุก ว่างงาน และตกอยู่ในภาวะสิ้นหวัง แต่แล้วในช่วงที่ติดอยู่ในห้องขังนั้นเอง เพื่อนร่วมห้องของเขากลับกลายเป็น "โค้ชชีวิต" ที่พาเขาออกจากความมืดมน ฝึกวินัย และช่วยให้เขาเรียนรู้การ “อยู่กับความไม่สบายใจ” จนค่อยๆ กลับมาแข็งแกร่งขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ
แล้วอะไรอยู่เบื้องหลังการออกกำลังกาย ทำไมถึงทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ขนาดนี้? ..เรื่องนี้มีคำตอบจาก ดร.เธรีส ฮัสตัน (Dr. Therese Huston) นักวิทยาศาสตร์ด้านความรู้ความเข้าใจ จากมหาวิทยาลัยซีแอตเทิล เขาบอกไว้ว่า แค่การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ 20 นาที ก็สามารถเพิ่ม “ความยืดหยุ่นทางความคิด” ได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหมายถึงความสามารถในการปรับตัว ทำให้ความคิดเฉียบคมและชัดเจนขึ้นได้ แม้อยู่ภายใต้ความกดดัน
เหตุผลก็คือ เมื่อเราเครียดหรืออยู่ในภาวะใช้สารเสพติด สมองจะเข้าสู่โหมดเอาตัวรอด โดยสมองส่วนที่เรียกว่า "อะมิกดาลา" (ศูนย์ควบคุมความกลัว) จะหลั่งฮอร์โมนเครียด ขณะที่สมองส่วนหน้าซึ่งควบคุมเหตุผลและการตัดสินใจจะถูกกดไว้
แต่การออกกำลังกายสม่ำเสมอ เปรียบเสมือนเป็นยาที่ช่วยกระตุ้นสมองส่วนหน้า (ใช้ในการวางแผนและควบคุมพฤติกรรม) ให้กลับมาทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งยังพัฒนาด้านความจำและการตัดสินใจ ควบคุมอารมณ์ให้เสถียรขึ้น และยังช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล) ได้ด้วย
ดักพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยตัวเอง และรวมถึง "ควาเม คริสเตียน" (Kwame Christian) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของสถาบันการเจรจาต่อรองอเมริกัน (The American Negotiation Institute) ซึ่งเป็นผู้เขียนบทความนี้ ก็ทดลองทำและได้ผลลัพธ์เช่นกัน พวกเขาค้นพบว่า การออกกำลังกายช่วยเพิ่มความอึดทึกทนทางจิตใจ ทำให้เป็นผู้นำ พ่อแม่ และนักสื่อสารที่มีความมั่นใจมากขึ้น
อยากมีทักษะการสื่อสารดีขึ้น? เริ่มจากการขยับร่างกาย
เวลาต้องเจรจางานสำคัญ เรามักโฟกัสที่คำพูดหรือสคริปต์ แต่กลับมองข้าม “สมาธิ” และ “ความมั่นใจ” ซึ่งจริงๆ แล้ว แค่การเคลื่อนไหวร่างกายเพียง 20 นาที ก็สามารถช่วยปรับปรุงสมาธิให้วัยทำงานได้
ซีอีโอสถาบันการเจรจาต่อรองฯ ย้ำว่า การออกกำลังกายจะช่วยให้ทั้งผู้นำองค์กรและวัยทำงานตัดสินใจได้เฉียบคมขึ้น ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น สื่อสารได้ชัดเจนขึ้น แม้อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ..พูดง่ายๆ ว่า การออกกำลังกายอาจเป็น "ทริก" ที่ดีที่สุด! ก่อนที่คุณจะเข้าไปเจรจาเรื่องงานหรือเรื่องสำคัญใดๆ ก็ตาม
ดัก เล่าว่า “ผมเชื่อว่าการออกกำลังกายทำให้คนอื่นมองเราต่างออกไป เพราะเขารู้ว่า การดูแลตัวเองต้องใช้ความพยายามแค่ไหน สิ่งนี้ไม่ใช่แค่อภิสิทธิ์ของคนหน้าตาดีเท่านั้น แต่คือ การสะท้อนความเคารพตัวเอง ซึ่งคนรอบข้างจะรู้สึกและตอบสนองกลับมาแบบเดียวกัน”
ไม่เพียงเท่านั้น มีงานวิจัยหลายชิ้นก็สนับสนุนว่า การออกกำลังกายช่วยให้สมอง ความคิด และการพูดคุย ดีขึ้นได้จริง โดยมีข้อค้นพบที่สำคัญมากมาย ได้แก่
- คนที่ออกกำลังกายประจำ มีทักษะการพูดและความคิดคล่องแคล่วมากกว่า
- การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ช่วยควบคุมอารมณ์ในช่วงวิกฤติได้
- การออกกำลังกายส่งผลต่อสมองส่วนการบริหารความคิดและการพูด ซึ่งสำคัญต่อการเป็นผู้นำและการเจรจา
ดักเองก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างชัดเจน เขาบอกว่า “คนเริ่มปฏิบัติกับผมดีขึ้น เพราะพวกเขาเห็นว่าผมดูแลตัวเอง และมันทำให้พวกเขาเปลี่ยนวิธีมองผมไปเลย”
เริ่มลงมือทำเลยตั้งแต่วันนี้ อย่ามัวแต่รอให้พร้อม
การเปลี่ยนแปลงของดักไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพียงแค่ข้ามคืน แต่มันเริ่มจาก "การตัดสินใจอย่างจริงจังเพียงครั้งเดียว" ต่อไปนี้คือวิธีเริ่มต้นสำหรับมือใหม่ ที่อยากออกกำลังกาย แต่ยังลังเลว่าจะทำได้หรือไม่ หรือกลัวว่าจะทำได้ไม่ต่อเนื่อง ลองปรับวิธีคิดใหม่ ดังนี้
1. เริ่มจากศูนย์ก็ไม่เป็นไร : ให้เริ่มจากสถานที่ที่คุณอยู่ แม้แต่ดักเองในช่วงแรกก็ยังเดินขึ้นบันไดไม่ไหว แต่เขาเริ่มจากวิดพื้นในห้องขังให้ได้ 1 ครั้งก่อนเริ่มจากเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยเพิ่มจำนวนครั้งหรือเพิ่มกิจกรรมอื่น
2. เปลี่ยนมุมมองใหม่: ให้มองการออกกำลังกายว่า "เป็นวิธีควบคุมอารมณ์" ช่วยฝึกทักษะ พัฒนาความคิด ไม่ใช่การลงโทษตัวเอง
3. เน้นความสม่ำเสมอ: เพื่อนร่วมห้องของดักไม่ได้เปลี่ยนเขาให้เป็นนักกีฬา แต่เปลี่ยนให้เขาเป็นคนมีวินัย ไม่ต้องออกกำลังกายหนัก แค่ทำบ่อยๆ เป็นประจำ
4. สังเกตความเปลี่ยนแปลงทางใจ: หลังออกกำลังกาย ให้ถามตัวเองว่า “รู้สึกมั่นคงขึ้นไหม?” รู้สึกสงบขึ้นไหม? มั่นใจขึ้นไหม?
5. ใช้ความไม่สบายเป็นเครื่องฝึกใจ: ทุกครั้งที่ยกเวท วิดพื้น หรือวิ่ง คือการซ้อมรับมือกับความยากลำบากในชีวิตจริง
โดยสรุปก็คือ อย่าคิดว่าการพัฒนาทักษะสื่อสารต้องเริ่มที่การเรียนพูด การนำเสนอ หรือการเขียนเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้ว รากฐานของการพูดให้คนเชื่อถือ หรือการสื่อสารอย่างมั่นใจ ล้วนมาจากการมี "ตัวตน" ที่แข็งแกร่งจากภายใน ซึ่งต้องเริ่มจากการสร้างวินัย สร้างพลัง และสร้างความเคารพต่อตัวเอง จงตระหนักว่า การออกกำลังกาย ไม่เพียงแค่ทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่มันคือรากฐานของวิธีคิดที่เฉียบคมขึ้น การสื่อสารที่ดีขึ้น และการเป็นคนมั่นใจตามมา
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในห้องประชุม กำลังเจรจางานใหญ่ หรือแค่พยายามพูดให้ชัดเจนขึ้นในที่ทำงาน การออกกำลังกายก็ช่วยให้สกิลเหล่านี้ของคุณพัฒนาดีขึ้นได้ ทั้งนี้ พลังที่คุณสร้างจากการออกกำลังกาย จะสะท้อนออกมาจากทุกๆ บทสนทนาในชีวิตจริง และนั่นอาจเป็นทักษะสำคัญที่สุดในการพัฒนาตัวเอง ที่คนส่วนใหญ่อาจมองข้ามไป