รู้หรือไม่ ? 'โรคติดต่อร้ายแรงต้องแจ้งความ' ควบคุม-ป้องกันโรค
โรคภัยไข้เจ็บในปัจจุบันมีมากมายให้ต้องระวัง โดยเฉพาะ “โรคติดต่อ” ที่เมื่อได้ยินต้องหวาดหวั่นกับความอันตรายของโรค แล้วรู้หรือไม่ว่า? ว่า โรคติดต่อร้ายแรง ที่ต้องแจ้งความ เมื่อพบผู้ป่วยที่เป็นโรคเหล่านั้น
โรคติดต่อ (Infectious disease) คือ โรคที่สามารถถ่ายทอดติดต่อถึงกันได้ระหว่าง บุคคล โดยมีเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ เป็นสาเหตุของโรค และถึงแม้ว่าเชื้อโรคจะเป็นตัวก่อเหตุ แต่พฤติกรรมที่ไม่ถูกสุขลักษณะของมนุษย์ก็เป็นปัจจัย ร่วมที่สำคัญที่จะทำให้เกิดโรคติดต่อนั้น ๆ ขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ต้านวัย-ต้านแก่- ฟื้นฟู บำบัดด้วย 'ออกซิเจนแรงดันสูง' (HBOT)
สาย 'ชาเขียวมัทฉะ' ต้องรู้! ดื่ม -เลือกอย่างไร ให้ดีต่อสุขภาพ
ทำความรู้จัก โรคติดต่อ ในไทย
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศ “รายชื่อโรคติดต่อที่ต้องรายงานเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558” (ฉบับปรับปรุงวันที่ 1 ก.พ. 2566) โดยจำแนกโรคออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ดังนี้
1. โรคติดต่ออันตราย มี 13 โรค ได้แก่
กำหนดให้รายงานทันทีที่พบผู้ป่วยแม้เพียงสงสัย โดยแจ้งเบื้องต้นไปยังคณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัด โดยไม่ต้องรอการวินิจฉัยสุดท้ายจากแพทย์ และไม่ต้องรอการลงรหัส ICD-10 ทั้งนี้ ประกอบด้วย
- กาฬโรค
- ไข้ทรพิษ
- ไข้เลือดออกไครเมียนคองโก
- ไข้เวสต์ไนล์
- ไข้เหลือง
- โรคไข้ลาสซา
- โรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์
- โรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก
- โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา
- โรคติดเชื้อไวรัสเฮนดรา
- โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือโรคซาร์ส
- โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส
- วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก
2. โรคที่ต้องเฝ้าระวังและรายงานผู้ป่วย 57 โรค
- กลุ่มโรคระบบทางเดินอาหารและน้ำ ได้แก่ อหิวาตกโรค อาหารเป็นพิษ โรคบิดจากเชื้อชิเกลลา โรคบิดมีตัวหรือโรคบิดจากเชื้ออะมีบา ไข้ไทฟอยด์หรือไข้รากสาดน้อย ไข้พาราไทฟอยด์หรือไข้รากสาดเทียม โรคพยาธิใบไม้ตับ โรคโบทูลิซึม โรคอาหารเป็นพิษจากเห็ด โรคไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน ชนิด เอ โรคไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน ชนิด อี
- กลุ่มโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ โรคปอดอักเสบหรือโรคปอดบวม โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
- กลุ่มโรคติดเชื้อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน ได้แก่ ไข้หัดเยอรมัน-ไข้หัดเยอรมันที่มีโรคแทรกซ้อน โรคสุกใสหรือโรคอีสุกอีใส โรคโปลิโอ ไข้หัดที่ไม่มีโรคแทรกซ้อน ไข้หัดที่มีโรคแทรกซ้อน โรคคอตีบ โรคไอกรน โรคบาดทะยัก ไข้สมองอักเสบเจแปนนิส โรคคางทูม บาดทะยักในเด็กแรกเกิด ไข้หัดเยอรมันแต่กำเนิด
- กลุ่มโรคติดเชื้อระบบประสาทส่วนกลาง ได้แก่ ไข้กาฬหลังแอ่น ไข้สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบที่ มิได้ระบุรายละเอียด
โรคติดต่อในแต่ละกลุ่มแตกต่างกัน
- กลุ่มโรคติดเชื้อที่นำโดยแมลง ได้แก่ ไข้เลือดออก ไข้เลือดออกช็อก ไข้มาลาเรีย โรคสครับไทฟัส ไข้เด็งกี ไข้ปวดข้อยุงลาย โรคติดเชื้อไวรัสซิกา
- กลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้แก่ โรคซิฟิลิส โรคซิฟิลิสแต่กำเนิด โรคหนองใน โรคหนองในเทียม โรคแผลริมอ่อน กามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง โรคเริมของอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก โรคหูดอวัยวะเพศและทวารหนัก โรคไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน ชนิด บี โรคไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน ชนิด ซี โรคไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน ชนิด ดี
- กลุ่มโรคติดเชื้อจากการสัมผัส ได้แก่ โรคมือเท้าปาก โรคเมลิออยโดสิส ไข้เอนเทอโรไวรัส ไข้ฝีดาษวานร
- โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน ได้แก่ โรคพิษสุนัขบ้าหรือโรคกลัวน้ำ โรคเลปโตสไปโรสิส โรคแอนแทรกซ์ โรคทริคิโนสิส โรคติดเชื้อสเตร็พโตคอคคัสซูอิส โรคบรูเซลโลสิส ไข้หวัดนก
3. การเฝ้าระวังกลุ่มอาการ (รายงานเป็นจำนวนผู้ป่วย)
ลักษณะข้อมูลเป็นแบบการรายงานข้อมูลที่นับจำนวนผู้ป่วยตามกลุ่มอาการที่มารับบริการที่โรงพยาบาล โดยใช้ ICD-10 เป็นตัว แปรในการนับจำนวนจากฐานข้อมูลของโรงพยาบาล ประกอบด้วยโรคต่าง ๆ ดังนี้
โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน โรคตาแดงจากไวรัส โรคอัมพาตกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกเฉียบพลัน เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ไข้ไม่ทราบสาเหตุ ไข้ออกผื่นจากการติดเชื้อไวรัส
อย่างไรก็ตาม ในตอนท้ายของประกาศมีการกำหนดหมายเหตุเอาไว้ โดยระบุว่า โรคที่ตัดออกจากการรายงาน 506 ได้แก่ วัณโรคทุกระบบ และ โรคเรื้อน ให้รายงานเป็นทะเบียนผู้ป่วยในฐานข้อมูลที่กรม ควบคุมโรคกำหนด
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากพยาธิ ไข้ดําแดง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่ไม่ระบุ โรคลิชมาเนีย และโรค เท้าช้าง ให้สอบสวนผู้ป่วยตามเกณฑ์การสอบสวนการระบาด เช่น พบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อนหรือเป็นโรคที่พบใหม่ในพื้นที่ และรายงาน เป็นเหตุการณ์ผิดปกติทางระบาดวิทยา
เช็กกลุ่มโรคติดต่อร้ายแรงต้องแจ้งความ
โรคติดต่อที่ต้องแจ้งความนั้น ปัจจุบันมีทั้งหมด 23 โรค ดังนี้
1. อหิวาตกโรค
2. กาฬโรค
3. ไข้ทรพิษ
4. ไข้เหลือง
5. ไข้กาฬหลังแอ่น
6. คอตีบ
7. โรคบาดทะยักในทารกแรกเกิด
8. โปลิโอ
9. ไข้หวัดใหญ่
10. ไข้สมองอักเสบ
11. โรคพิษสุนัขบ้า
12. ไข้รากสาดใหญ่
13. วัณโรค
14. แอนแทร็กซ์
15. โรคทริคิโนซิส
16. โรคคุดทะราด เฉพาะในระยะติดต่อ
17. โรคอัมพาตกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกอย่างเฉียบพลันในเด็ก
18. โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง
19. โรคไข้ปวดข้อยุงลาย หรือชิคุนกุนยา
20. ไข้เลือดออก
21. โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา
22. โรคเมอร์ส (MERS)
23. โรคติดเชื้อไวรัสซิกา
"หากพบผู้ป่วยที่เป็นโรคเหล่านี้ ต้องแจ้งความเพื่อประโยชน์ในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค รวมถึงการแจ้งความช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสามารถดำเนินการเฝ้าระวัง, ตรวจสอบ, และควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่นและชุมชน"
โรคติดต่ออุบัติใหม่ (Emerging Infectious Diseases)
องค์การอนามัยโลกได้ให้นิยามโรคติดต่ออุบัติใหม่ว่า เป็นโรคติดต่อที่มีอุบัติการณ์ในมนุษย์เพิ่มสูงขึ้นมาก ในช่วงที่เพิ่งผ่านมาหรือมีแนวโน้มความเสี่ยงที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ เป็นโรคติดเชื้อชนิดใหม่ ๆ ที่มีรายงานผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในระยะประมาณ 20 ปีที่ผ่านมาหรือโรคติดเชื้อที่มีแนวโน้มที่จะพบมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ รวมไปถึงโรคที่เกิดขึ้นใหม่ในที่ใดที่หนึ่ง หรือโรคที่เพิ่งจะแพร่ระบาดเข้าไปสู่อีก ที่หนึ่งและยังรวมถึงโรคติดเชื้อที่เคยควบคุมได้ด้วยยาปฏิชีวนะ แต่เกิดการตื้อยา ตัวอย่างโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ เช็น โรคเอดส์ ไข้หวัดนก วัณโรค ดื้อยา โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 โรคทางเดินหายใจเฉียบพลัน รุนแรง โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา และโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลางเป็นต้น
ป้องกันตัวเองให้ไกล 'โรคติดต่อ'
การป้องกันโรคติดต่อดังกล่าว ประชาชนต้องมีพฤติกรรม อุนามัยที่ถูกต้อง และต้องมีการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคและลดการเจ็บป่วยด้วยโรคติดต่อ ดังนี้
1. การล้างมือด้วยน้ำและสบู่
มือ เป็นอวัยวะที่ใช้ทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย เรามีโอกาสที่จะใช้มือสัมผัสสิ่งของรอบๆ ตัว ที่อาจปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย เช่น ลูกบิดประตูแก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า โทรศัพท์ ราวบันได ซึ่งจะทำให้มือสกปรก และได้รับเชื้อโรคปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกายได้ โดยเชื้อจะเข้าทางเยื่อบุจมูก ตาและปาก จึงต้องดูแลมือให้สะอาด เพื่อไม่ให้มือเป็นสื่อนำเชื้อโรค
โดยการล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้ง
- ก่อนรับประทานอาหาร
- ก่อนและหลังการเตรียมปรุงอาหาร
- หลังเข้าห้องล้วม
- หลังสัมผัสสิ่งสกปรก เช่น หลังการไอ จาม สั่งน้ำมูก จับต้องขยะ
- หลังการสัมผัสสัตว์ทุกชนิด
2. การมีพฤติกรรม การบริโภคที่ถูกต้องคือ กินร้อน..…ช้อนกลาง…ล้างมือ
1. กินอาหารทันที่หลังจากปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อน
2. ปรุงอาหารด้วยความร้อนให้สุกอย่างทั่วถึง
• อาหารประเภทเนื้อสัตว์ ต้องใช้ความร้อน เพื่อทำให้อาหารสุก ทั่วถึงทุกส่วน ไม่ปรุงอาหารแบบสุกๆ ดิบๆ
3. เก็บอาหารปรุงสุกอย่างเหมาะสม
• อาหารที่เหลือจากการกิน เก็บไว้นานเกินกว่า 4 ชั่วโมงต้องนำมาอุ่นให้ร้อนอย่างทั่วถึงก่อนนำมากินอีกครั้ง
อนามัยสิ่งแวดล้อมป้องกันโรคติดต่อ
"ซ้อนกลาง…สำคัญอย่างไร"
ช้อนกลาง เป็นช้อนที่มีไว้ในสำรับกับข้าว เพื่อใช้ตักแบ่งอาหารมาใส่จานของผู้กิน โดยอาจเป็นอุปกรณ์อื่นที่เหมาะสมกับประเภทของอาหารนั้น ๆ ก็ได้ เช่น ล้อม ที่คืบ ซึ่งต้องมีการจัดวางไว้ในจานของอาหาร ทุกจาน
ช้อนกลาง ช่วยป้องกันโรคที่ติดต่อผ่านทางน้ำลาย ได้แก่
ไข้หวัดใหญ่ คอดีบ คางทูม วัณโรค โปลิโอ ไวรัสดับอักเสบ ไม่ให้แพร่กระจายระหว่างบุคคลได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันน้ำลายของผู้กินไม่ให้ลงไปปนเปื้อนอาหารทำให้บูลเสียง่ายอีกด้วย ทั้งยังเป็นการสร้างพฤติกรรมอนามัยที่ถูกต้อง ให้เป็นวัฒนธรรมที่ดีงามในการกินอาหาร ร่วมกัน
3. การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ
เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย จึงควรปฏิบัติดังนี้
- กินอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักและผลไม้ ในปริมาณที่เพียงพอ ต่อวัน ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
- ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
- นอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง ในที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก
- ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 - 5 วันๆ ละ 30 นาที
- งดสูบบุหรี่และดื่มสุรา
- หลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชนหรือสถานที่แออัด และหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วย
4. มีการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมให้ถูกต้อง
นอกจากการมีพฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้อง และมีการดูแลรักษา สุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอแล้ว การจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ก็มีความสำคัญที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้นจากการแพร่ระบาดของเชื้อโรค
- สถานที่ปรุง - ประกอบอาหาร
ครัว เป็นสถานที่ที่ใช้ในการเตรียม - ปรุงอาหาร ดังนั้นจึงต้องสะอาด ไม่มีหยากไย่ ไม่มีสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่อาจจะปนเปื้อนลงในอาหารได้ ควรมีการกวาด เช็ด ถู หลังจากปรุง - ประกอบอาหารเสร็จแล้วในแต่ละครั้ง
ผู้ปรุงอาหาร ควรมีการปฏิบัติตนที่ดี ในการเตรียม - ปรุง โดยปฏิบัติดังนี้
1.ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้ง ก่อนเตรียม - ปรุงอาหาร หลัง สัมผัสสิ่งสกปรก และหลังเข้าห้องส้วม
2.อาหารทุกประเภท ต้องล้างให้สะอาดก่อนนำมาปรุง
3.ปรุงอาหารทุกชนิดให้สุกอย่างทั่วถึงด้วยความร้อน
4.แยกเก็บอาหารแต่ละประเภทเป็นสัดส่วนในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม
- อาหารสด : เก็บในที่มีอุณหภูมิต่ำหรือในตู้เย็น
- อาหารแห้ง : เก็บในที่โปร่งสะอาด
- อาหารปรุงสำเร็จ : มีการปกปิด หรือเก็บในตู้เย็น หากต้องการเก็บเป็นเวลานาน
5. ไม่ใช้มือหยิบจับอาหารปรุงสุกโดยตรง ควรใช้ช้อน หรืออุปกรณ์
คีบ/ตัก
6.การชิมอาหาร ต้องตักใส่ถ้วยและ มีช้อนชิมเฉพาะ
7.สวมหมวกหรือเน็ทคลุมผม และ ผ้ากันเปื้อนทุกครั้ง ขณะเตรียมปรุงอาหาร
- การจัดการน้ำบริโภค
ในครัวเรือนการดื่มน้ำที่ไม่สะอาด โดยเฉพาะภาวะเกิดโรคระบาด จะทำให้เสี่ยง ต่อการเป็นโรคระบบทางเดินอาหารและโรคอื่น ๆ ได้ จึงต้องป้องกันด้วยการเลือกน้ำดื่มที่สะอาด ใส ปราศจาก รส สี กลิ่น เชื้อโรค และแร่ธาตุที่ก่อให้เกิดอันตราย โดยต้องมีการปรับปรุงคุณภาพน้ำเพื่อให้ได้น้ำที่มีคุณภาพเหมาะสม ดังนี้
การทำน้ำให้สะอาดปลอดภัย สำหรับการดื่ม - การใช้
- ต้มให้เดือด นาน 1 นาที เพื่อทำลายเชื้อโรคในน้ำ น้ำที่นำมา ต้มควรเป็นน้ำที่ใสสะอาด ผ่านการกรองหรือทำให้ตกตะกอนแล้ว
- การใช้คลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรคในน้ำ (ควรมีคลอรีนอิสระคงเหลือ 0.2 - 0.5 พี.พีเอ็ม)
คลอรีนชนิดผง ใช้ผงปูนคลอรีน 60% จำนวน 1 ช้อนชาใส่ในน้ำ 1 แก้ว คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ให้ตกตะกอน รินเฉพาะส่วนที่เป็น น้ำใส นำไปผสมในน้ำสะอาด 50 ปี๊บ (1,000 ลิตร) ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ก่อนนำไปใช้
• คลอรีนชนิดเม็ด ใช้ 1 เม็ด (ขนาด 3 กรัม) ผสมน้ำ 1,000 ลิตร
ทิ้งไว้ 30 นาที ก่อนนำไปใช้ คลอรีนชนิดน้ำ ใช้หยดลงในน้ำ 1 หยด ต่อน้ำ 1 ลิตร คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 30 นาที ก่อนนำไปใช้
- ส้วม
ส้วม เป็นสถานที่ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ เนื่องจากส้วมที่ชำรุดและไม่สะอาดนั้น จะเป็นแหล่งสะสมและแพร่กระจายของเชื้อโรคต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การทำลายสุขภาพของผู้ใช้ ดังนั้น เราจะต้องช่วยกันดูแลรักษาความสะอาดให้ส้วมของเราน่าใช้ ถูกสุขลักษณะ ปราศจากเชื้อโรคอยู่เสมอและผู้ใช้ส้วมควรมีพฤติกรรมการใช้ส้วมที่ถูกต้องด้วย
วิธีการทำให้ส้วมสะอาดปลอดภัย
1. ทำความสะอาดล้วมเป็นประจำ
เพื่อไม่ให้ล้วมเป็นแหล่งแพร่กระจายของเชื้อโรค โดยทำความสะอาดล้วมไม่ให้มีฝุ่น หยากไย่ และคราบสกปรก ซึ่งมีจุดที่ต้องเน้นทำความสะอาดเป็นพิเศษ ดังนี้
- ที่จับสายฉีดน้ำชำระ
- พื้นห้องล้วม
- ที่รองนั่งส้วม
- ที่กดน้ำของโถส้วม/โถปัสสาวะ
- ก๊อกน้ำ
- กลอนประตู/ลูกบิดประตู
2.ดูแลส้วมให้อยู่ในสภาพดี ใช้งานได้อยู่เสมอโถส้วม โถปัสสาวะ พื้น ผนัง เพดาน ท่อน้ำ อ่างล้างมือ ก๊อกน้ำกระจก ภาชนะเก็บกักน้ำ ขันตักน้ำต้องอยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งานตลอดเวลา หากพบรอยแตกร้าวหรือชำรุดต้องรีบซ่อมแซมทันที รวมทั้งจัดให้มีน้ำใช้ที่สะอาดเพียงพอ และไม่มีลูกน้ำยุง
ผู้ใช้ต้องสร้างสุขนิสัยรักษ์สะอาด และมีพฤติกรรมการใช้ส้วมที่ถูกต้อง ดังนี้
- นั่งบนโถส้วม
- ไม่ทิ้งวัสดุอื่น นอกจากกระดาษชำระลงในโลส้วม
- ราดน้ำหรือกดชักโครกทุกครั้งหลังการใช้ส้วม
- ล้างมือทุกครั้งหลังการใช้ส้วม
กำจัดขยะ แหล่งเชื้อโรค ต้นเหตุโรคติดต่อ
ขยะ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์ แมลงนำโรค จึงควร มีการเก็บรวบรวมอย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยเก็บรวบรวมไว้ในที่รองรับขยะหรือถังขยะ ก่อนที่จะนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี
ถังขยะที่เหมาะสมในบ้านเรือน
- ทำด้วยวัสดุแข็งแรง ทนทาน ไม่รั่วซึม
- มีความจุไม่เกิน 20 ลิตร
- มีฝาปิด
- ควรใช้ถุงพลาสติกรองด้านในถังขยะในกรณีฉุกเฉิน ไม่มีภาชนะรองรับขยะ ควรแยกจัดเก็บเป็น 2ประเภท คือ ขยะเปียกและขยะแห้ง เพื่อสะดวกในการกำจัด โดยเก็บรวบรวมขยะใส่ถุงดำ มัดปากถุงให้แน่น นำไปรวมที่ที่พักขยะ
การกำจัดขยะด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้
- การเผา
- การฝัง
- การหมักทำปุ๋ย
การจัดการขยะมูลฝอย : เพื่อป้องกัน ควบคุมมิให้เกิดการปนเปื้อนต่อแหล่งน้ำ อาหาร และไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงวัน และพาหนะนำโรค ควรทำดังนี้
- ขยะ สิ่งปฏิกูลที่ย่อยสลายได้ เช่น เศษอาหาร ซากสัตว์ ให้ขูดหลุมลึก 0.5 - 1.0 เมตร และคัดแยกขยะ สิ่งปฏิกูล รวบรวม ใส่หลุม โรย ด้วยปูนขาวและฝังกลบด้วยดิน ไม่ให้สัตว์คุ้ยเขี่ย หรือแมลงวัน วางไข่ได้
- บริเวณใดที่ไม่เหมาะกับพื้นที่ฝังกลบ ให้นำขยะสิ่งปฏิกูลใส่ถุงดำมัดปากถุงให้แน่น นำไปรวบรวมไว้เพื่อรอการนำไปกำจัดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
การควบคุมสัตว์ แมลงน้ำโรค
สัตว์ แมลงนำโรคหลายชนิดที่นำเชื้อโรคมาสู่คนโดยที่เชื้อโรคจะ ติดมากับลำตัว ปีก ขน หรือปะปนมากับน้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระของสัตว์และแมลงดังกล่าว ฉะนั้นจึงต้องมีการควบคุมป้องกัน ดังนี้
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์ แมลงนำโรคโดยเก็บเศษอาหารและขยะต่างๆ ในถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด และนำขยะไปกำจัดทุกวัน
- ดูแลรางระบายน้ำไม่ให้อุดตันและมีเศษอาหารค้างอยู่ ซึ่งอาจเป็นแหล่งอาหารของสัตว์แมลงนำโรค
- ระบายน้ำขังในบริเวณพื้นที่ต่างๆ หรือขุดรางระบายน้ำเสียหรือกลบฝังแหล่งน้ำเสียในระยะ 30เมตร จากบ่อน้ำ
- จัดหน่วยพ่นเคมี กำจัดสัตว์ แมลงนำโรค ตามแหล่งชุมชนและหมู่บ้าน
อ้างอิง: กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ,โรคติดต่อที่ต้องรายงานเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 (ฉบับปรับปรุงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566) ,Thai One Health Network