เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสตอน 29 เวียดนาม ปฏิรูปรัฐ-เปิดรับโลก
ประเทศไทยต้องเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสตอนที่ 29 "เวียดนาม: เส้นทางสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนผ่านการปฏิรูปรัฐและเปิดรับโลก"
ตลอดระยะเวลาไม่ถึงสามทศวรรษ เวียดนามได้แปรเปลี่ยนจากประเทศที่เคยพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก มาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย โดยเฉพาะในปี 2567 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจเวียดนามยังคงแสดงศักยภาพอันแข็งแกร่งภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจที่ทันสมัยและนโยบายที่เอื้อต่อการแข่งขันในระดับนานาชาติ
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งเวียดนาม (GSO) ระบุว่า GDP ของประเทศในปี 2567 ขยายตัวถึง 5.8% แม้จะชะลอตัวลงจากปี 2565 ซึ่งเติบโตสูงถึง 8% อันเป็นผลจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก แต่เวียดนามยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
มูลค่าการส่งออกของเวียดนามในปีเดียวกันทะลุ 3.7 แสนล้านดอลลาร์ โดยมีอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้า เครื่องจักร และเฟอร์นิเจอร์ ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในปี 2567 อยู่ที่กว่า 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขสูงที่สุดในกลุ่มประเทศ CLMV และการบริโภคภายในประเทศยังคงเติบโตต่อเนื่องจากการขยายตัวของชนชั้นกลาง โดยดัชนีค้าปลีกเพิ่มขึ้นถึง 9.2% เมื่อเทียบปีต่อปี
สำหรับปี 2568 ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) คาดการณ์ว่า GDP ของเวียดนามจะขยายตัวอยู่ที่ 6% โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออก การบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นคงของเศรษฐกิจในระยะยาวและความสามารถในการปรับตัวต่อบริบทเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (ที่มา: ADB Asian Development Outlook 2024, เมษายน 2024)
ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเวียดนามคือ การเร่งปฏิรูปกฎหมายและระเบียบราชการแบบที่เรียกว่า Regulatory Guillotine (RG) ซี่งเป็นการทบทวนกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อขจัดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน ล่าช้า หรือไม่ทันสมัย และสร้างความโปร่งใสในระบบราชการ โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้า การลงทุน แรงงาน สิ่งแวดล้อม และทรัพย์สินทางปัญญาให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
การปฏิรูปนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยอำนวยความสะดวกทางธุรกิจให้กับนักลงทุนต่างชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการภายในประเทศต้องยกระดับการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และสามารถแข่งขันในระดับสากลได้ดีขึ้น รัฐบาลเวียดนามมองว่าการปฏิรูปเหล่านี้เป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้เวียดนามสามารถเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ การลงนามในข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศและภูมิภาคสำคัญทั่วโลก ปัจจุบันเวียดนามมี FTA ที่มีผลบังคับใช้แล้วมากกว่า 15 ฉบับ รวมถึง CPTPP, EVFTA, RCEP และ FTA กับอาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป
สิ่งเหล่านี้ทำให้สินค้าเวียดนามสามารถเข้าถึงตลาดผู้บริโภคมากกว่า 2,000 ล้านคนภายใต้เงื่อนไขภาษีที่เอื้อต่อการส่งออกอย่างสูง การเชื่อมโยงกับเครือข่าย FTA เหล่านี้ยังเป็นการสร้างแต้มต่อให้เวียดนามในฐานะศูนย์กลางการผลิตและส่งออกในภูมิภาค และเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดการลงทุนจากบริษัทชั้นนำของโลกให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในเวียดนามมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เวียดนามยังมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่เปิดกว้าง และสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ และให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและแรงจูงใจอื่น ๆ แก่อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ พลังงานสะอาด และการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ส่งผลให้เวียดนามกลายเป็นจุดหมายใหม่ของการย้ายฐานการผลิตจากประเทศพัฒนาแล้วและกลุ่มประเทศที่มีต้นทุนสูง
อีกหนึ่งจุดแข็งที่สำคัญซึ่งมักถูกมองข้ามแต่มีผลอย่างยิ่งต่อความสามารถในการแข่งขันของเวียดนาม คือโครงสร้างประชากรที่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เวียดนามมีประชากรเกือบ 100 ล้านคน โดยกว่า 60% อยู่ในวัยแรงงาน แม้ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (อยู่ระหว่าง 190–250 ดอลลาร์ต่อเดือน) เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพและการแข่งขันด้านแรงงานในภูมิภาค แต่ประเทศยังคงมีแรงงานจำนวนมากที่มีศักยภาพสูงและทักษะด้านอุตสาหกรรมพื้นฐานที่เข้มแข็ง จึงเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการเติบโตของภาคการผลิตและการดึงดูด FDI อย่างต่อเนื่อง เวียดนามจึงเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาตลาดแรงงานที่เพียบพร้อมและยืดหยุ่น
นอกจากนี้ ความมั่นคงทางการเมืองของเวียดนามซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองแบบสังคมนิยมพรรคเดียว ทำให้ประเทศสามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ นักลงทุนไม่ต้องกังวลกับความเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายตามวาระการเมืองในระยะสั้น ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้างที่ประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งยังไม่สามารถสร้างได้
ที่สำคัญ รัฐบาลเวียดนามยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาการศึกษา โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) รวมทั้งการส่งเสริมทักษะด้านภาษาอังกฤษในระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เพื่อยกระดับความพร้อมของทรัพยากรมนุษย์ให้สอดรับกับเศรษฐกิจยุคใหม่
การศึกษาที่มุ่งเน้นการผลิตแรงงานที่มีทักษะสูงนี้ ถูกเชื่อมโยงอย่างแนบแน่นกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ ทำให้เวียดนามสามารถตอบสนองต่อความต้องการของนักลงทุนได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ด้วยปัจจัยเหล่านี้ เวียดนามจึงไม่เพียงแค่เป็นประเทศที่เติบโตเร็ว หากแต่เป็นตัวอย่างของการพัฒนาอย่างมีแบบแผน มีวิสัยทัศน์ และสร้างสมดุลระหว่างโครงสร้างรัฐ การเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาทุนมนุษย์อย่างเป็นระบบ ท่ามกลางบริบทโลกที่ไม่แน่นอน เวียดนามจึงเป็นดาวรุ่งแห่งเอเชียที่ไม่ได้สว่างวาบเพียงชั่วคราว แต่กำลังส่องแสงอย่างมั่นคงในฐานะพลังเศรษฐกิจใหม่ของภูมิภาค
บทความโดย: ธนกร สังขรัตน์ กรรมการผู้จัดการ Fabulous Pillar Co., Ltd. (Myanmar)
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสตอน 28 สนามรบสู่สนามการค้า: เส้นทางการพัฒนาเศรษฐกิจเวียดนาม
- เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสตอน 27 'ไต้หวัน' ก้าวข้ามจากผู้ผลิตสู่ผู้สร้างแบรนด์
- เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสตอน 26 ไต้หวัน จาก OEM สู่ ODM
ติดตามเราได้ที่
- เว็บไซต์: https://www.thebangkokinsight.com/
- Facebook: https://www.facebook.com/TheBangkokInsight
- X (Twitter): https://twitter.com/BangkokInsight
- Instagram: https://www.instagram.com/thebangkokinsight/
- Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCYmFfMznVRzgh5ntwCz2Yxg