ไทยเร่งดัน“เอไอแห่งชาติ”แข่งเวทีโลก ลุยสร้างคน-ดึงทุนปักธงฮับเทคเอเชีย
รัฐบาลไทยเดินหน้าเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยนโยบาย“AI Nation” อย่างเป็นระบบ โดยหวังว่าจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยยุคใหม่ รวมถึงเป็นกลไกหลักช่วยยกระดับขีดแข่งขันประเทศ หลังคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (บอร์ดเอไอแห่งชาติ) มีมติเห็นชอบกรอบดำเนินงานและงบประมาณรวม 25,000 ล้านบาท สำหรับปีงบประมาณ 2569-2570 กำหนดยุทธศาสตร์ 4 แกนหลัก ได้แก่
- จัดตั้งภาคีความร่วมมือรัฐ-เอกชน เพื่อบูรณาการทรัพยากรและการลงทุน
- จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้าน AI (CoE) 10 แห่ง กระจายทั่วประเทศ
- จัดทำแผนปฏิบัติการรายสาขา เพื่อให้การลงทุนและการพัฒนาเกิดผลเป็นรูปธรรม
- พัฒนากรอบกฎหมายและมาตรการกำกับดูแล สนับสนุนการสร้างนวัตกรรมโดยไม่ปิดกั้น
ประกาศวิสัยทัศน์บนเวที APEC
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ใช้เวที APEC 2025 Digital and AI Ministerial Meeting ที่เมืองอินชอน เกาหลีใต้ ในช่วงที่ผ่านมา ประกาศทิศทาง AI ของไทยสู่สายตานานาชาติ พร้อมตั้งเป้าหมายชัดเจนว่า ไทยจะก้าวจาก “ผู้ใช้” สู่ “ผู้พัฒนา AI” ที่มีความน่าเชื่อถือ พร้อมแผนโรดโชว์ในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และสหรัฐฯ เพื่อเจรจาจับคู่ธุรกิจและดึงดูดการลงทุน
ประเทศไทยมีความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล อาทิ ThaiD, PromptPay และโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใช้งานจริงแล้ว รวมถึงบุคลากรและนโยบายรัฐที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมดิจิทัล
ตั้งเป้าใหญ่ศูนย์วิจัยพัฒนาเชื่อมศก.จริง
ในขณะที่ ศูนย์ความเป็นเลิศด้าน AI จะครอบคลุมสาขายุทธศาสตร์ เช่น การศึกษา เกษตร สุขภาพ การผลิต การท่องเที่ยว โลจิสติกส์ พลังงาน โมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่ และความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยแต่ละ CoE จะเป็นศูนย์กลางวิจัย พัฒนา ถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างบุคลากรเชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ เพื่อเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรมโดยตรง
รวมถึง รัฐบาลยังเตรียมเปิด “Data Sandbox” ภาครัฐ เพื่อให้เอกชนและสตาร์ทอัป AI เข้าถึงข้อมูลอย่างปลอดภัย นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์สังคมและเศรษฐกิจ มีกฎเกณฑ์ชัดเจนปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและความมั่นคง
นายประเสริฐ ย้ำว่า ความสำเร็จนโยบาย AI ไม่ได้วัดเพียงตัวเลขการลงทุน แต่ต้องสร้างระบบนิเวศที่เปิดกว้าง ปลอดภัย และโปร่งใส ทั้งเชิงโครงสร้างพื้นฐาน กฎหมาย และความร่วมมือระหว่างประเทศ เป้าหมายสูงสุดคือการทำให้ไทยก้าวสู่บทบาท “ผู้กำหนดเกม” ดิจิทัลของอาเซียน และเป็นศูนย์กลาง AI แห่งเอเชียอย่างมั่นคงและสมดุล ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง
ลงทุนคน–เปิดทาง Talent ต่างชาติ
ด้าน ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า เปิดเผยว่า เป้าหมายภายใน 2 ปี คือ ไทยต้องมีผู้ใช้ AI 10 ล้านคน ผู้เชี่ยวชาญ 90,000 คน และนักพัฒนา 50,000 คน โดยใช้โมเดล Public–Private Partnership ในการเร่งพัฒนา พร้อมจัดตั้งสมาคม AI แห่งประเทศไทย เพื่อเป็นกลไกกลางในการวิจัย พัฒนา และฝึกอบรม
นอกจากนี้ นโยบาย Talent Digital Visa จะถูกนำมาใช้เพื่อดึงผู้เชี่ยวชาญต่างชาติด้าน AI เข้ามาทำงานในไทย ขณะเดียวกัน จะเร่งสร้างบุคลากรภายในประเทศผ่านโครงการอบรมเข้มข้น และบูรณาการหลักสูตร AI ในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ
มาตรการภาษี–จุดแข็งดึงดูดการลงทุน
ดีป้าประเมินว่าการปรับลดภาษีของสหรัฐฯ เหลือ 19% จะกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัล คลาวด์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และ AI ให้เติบโตเร็วขึ้น ปัจจุบันมูลค่าการลงทุนกลุ่มนี้ที่ BOI อนุมัติแล้วอยู่ราว 5 แสนล้านบาท และมีโอกาสขยับสู่ 6-7 แสนล้านบาทภายในไม่กี่ปี ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและบริการดิจิทัลในภูมิภาค
เร่งปรับหลักสูตรบัณฑิตอนาคต
ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไอเอ็มซี นักวิชาการด้านเทคดิจิทัลของไทย วิเคราะห์ว่า สิ่งสำคัญ คือ หลักสูตรการเรียนการสอน ปัจจุบันมีหลักสูตรการเรียนฯ น้อยมากที่รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นจากทั้งทางด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับแทบทุกมหาวิทยาลัยในประเทศไทย
การพัฒนาหลักสูตรใหม่ๆ ที่สอดคล้องการเปลี่ยนแปลงโลกจำเป็นต้องวิเคราะห์ทิศทางอุตสาหกรรมใน 10-20 ปีข้างหน้า ต้องมีนโยบายที่ชัดเจนจากมหาวิทยาลัยหรือจากรัฐบาลที่ต้องมีนโยบายส่งเสริมชัดเจนและจัดหางบประมาณมาสนับสนุน ทั้งพัฒนาผู้สอนและลงทุนในการพัฒนาหลักสูตร
อุตฯเป้าหมาย-อนาคตยังต้องการ‘คน’
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ประกาศผลสำรวจความต้องการบุคลากรทักษะสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมายปี 2568-2572 มี 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย พบว่า ต้องการบุคลากรทักษะสูงในตำแหน่งงานสำคัญรวม 1,087,448 ตำแหน่ง ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การ บินโลจิสติกส์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร
อุตสาหกรรมที่ต้องการบุคลากรมากที่สุด คือ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ 440,573 ตำแหน่ง ตามด้วยอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะและหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม 226,423 ตำแหน่ง และ อุตสาหกรรมดิจิทัล 87,568 ตำแหน่ง
ขณะที่ บริษัทวิจัย McKinsey กล่าวถึง 18 กลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่จะเติบโตสูง และจะขยายตัวจากสัดส่วนเพียง 4% ของจีดีพีโลกปัจจุบันเป็น 10-16% ภายในปี 2040 สร้างรายได้รวมทั่วโลกสูงถึง 29-48 ล้านล้านดอลลาร์ สร้างผลกำไรได้ถึง 2-6 ล้านล้านดอลลาร์ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโลกครั้งสำคัญ ทุกประเทศรวมถึงไทยไม่สามารถมองข้ามได้
18 อุตสาหกรรมถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เติบโตสูงอยู่แล้ว และยังโตต่ออย่างแข็งแกร่ง เช่น อีคอมเมิร์ซ ยานยนต์ไฟฟ้า คลาวด์ และเซมิคอนดักเตอร์ สำหรับไทย นี่คือสมรภูมิที่ต้องแข่งอย่างเข้มข้นเพื่อรักษาและขยายส่วนแบ่งตลาดที่มีอยู่เดิม
2.กลุ่มอุตสาหกรรมแตกแขนง แตกออกมาจากอุตสาหกรรมเดิม แต่โตอย่างเร็วและทรงพลังด้วยตัวเอง เช่น ซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โฆษณาดิจิทัล และบริการสตรีมมิงเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายใหม่ที่คล่องตัวและบริษัทเดิมสามารถปรับตัวเพื่อสร้างมูลค่าใหม่ได้
และ 3.กลุ่มอุตสาหกรรมเกิดใหม่ มีศักยภาพเติบโตและพลวัตสูง แต่เพิ่งเริ่มต้น เช่น อุตสาหกรรมอวกาศ ยานยนต์อัตโนมัติ เทคโนโลยีชีวภาพ และพลังงานนิวเคลียร์ฟิชชัน
แนะรัฐยกเป็นวาระแห่งชาติพัฒนาคน
“การนำพาประเทศไปสู่ขีดความสามารถแข่งขันสูงสุดในปี 2040 บทบาทหนึ่ง ที่สถาบันอุดมศึกษาควรทำ คือ เร่งรัดการพัฒนาบุคลากรภาครัฐบาลอาจต้องจัดทำโครงการระดับชาติยกระดับและปรับเปลี่ยนทักษะครั้งใหญ่ ขับเคลื่อนจากความต้องการภาคอุตสาหกรรมอนาคตอย่างแท้จริงสร้างบุคลากรที่พร้อมสำหรับอนาคต” ดร.ธนชาติ กล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลเองอาจต้องเร่งสร้างระบบนิเวศเชิงลึก เปลี่ยนนโยบายส่งเสริมลงทุนไปสู่การบ่มเพาะและสนับสนุนผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานระดับ และการนำผลงานวิจัยและพัฒนาไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์