รักคุณเท่าฟ้า! หุ้น THAI พุ่ง 40% อวดกำไร Q2/68 มากกว่า 1.2 หมื่นล้าน จุดติดแรงซื้อไม่หยุด

ปรากฎการณ์ "รักคุณเท่าฟ้า" ของ "บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI" แรงดีไม่มีแผ่วตลอดทั้งสัปดาห์ นับตั้งแต่กลับเข้ามาเทรดวันแรกในช่วงเช้าของวันจันทร์ ที่ 4 ส.ค.68 ถึงปัจจุบัน

จากราคาเปิดเทรด 10.50 บาท แต่ในวันนี้ (8 ส.ค.68) ณ เวลา 12.01 น. ราคาหุ้น THAI แตะระดับ 14.60 บาท ราคาบวกต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ถึง 4.10 บาท

การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นคาดว่าน่าจะสะท้อนภาพ "THAI" ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 2/68 ทำได้ 12,124.23 ล้านบาท เทียบงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 306.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,862% งวด 6 เดือน ปี 68 กำไรสุทธิ 21,955.97 ล้านบาท เทียบงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,715.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 708.4%

บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 44,828 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.9% สาเหตุหลักมาจากรายได้จากกิจการขนส่งที่เพิ่มขึ้น 0.7% โดยรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 54 ล้านบาท คิดเป็น 0.1% ส่วนรายได้จากค่าระวางขนส่งและไปรษณียภัณฑ์ เพิ่มขึ้น 230 ล้านบาท คิดเป็น +5.5%

ค่าใช้จ่ายรวม ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3,408 ล้านบาท คิดเป็น -9.0% โดยหลักมาจากค่าน้ำมันเครื่องบินที่ลดลงตามราคาน้ำเฉลี่ยที่ปรับลดลง โดยเฉพาะค่าน้ำมันเครื่องบินลดลงไป 17.9% จากราคาน้ำมันเฉลี่ยปรับตัวลง 15.4% และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นจากปีก่อนที่ 36.71 บาท/ดอลลาร์มาอยู่ที่ 33.11 บาท/ดอลลาร์ หรือแข็งค่าขึ้น 9.8%

ส่งผลให้บริษัทมีกําไรจากการดําเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน 10,180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,255 ล้านบาท คิดเป็น +71.8% รับรู้ต้นทุนทางการเงิน (ซึ่งเป็นการรับรู้ต้นทุนทางการเงินตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9: TFRS 9) จํานวน 3,392 ล้านบาท ลดลง 1,404 ล้านบาท คิดเป็น -29.3% และมีรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิเป็นรายได้รวม 5,347 ล้านบาท

สาเหตุหลักจากกําไรจากการยกเลิกสัญญาเช่าเครื่องบิน กําไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสุทธิ ผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ และผลขาดทุนจากการวัดมูลค่าจากตราสารอนุพันธ์

ในไตรมาส 2/68 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกําไรสุทธิจํานวน 12,134 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 11,820 ล้านบาท โดยเป็นกําไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 12,124 ล้านบาท โดยมี EBITDA จํานวน 13,408 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 4,158 ล้านบาท คิดเป็น +45%

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทฯ มีเครื่องบินที่ใช้ดําเนินงาน 78 ลํา โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 68 มีอัตราการใช้ประโยชน์ของเครื่องบินเฉลี่ย 13.5 ชั่วโมง/ลํา/วัน มีจํานวนผู้โดยสารที่ทําการขนส่งรวมทั้งสิ้น 3.97 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.2% มีปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่มขึ้น 1,559 ล้านที่นั่ง-กิโลเมตร (+9.7%) และปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เพิ่มขึ้น 1,821 ล้านคน-กิโลเมตร (+15.6%)

เนื่องจากบริษัทฯ ได้กลับมาให้บริการในเส้นทางยุโรป ได้แก่ ออสโล มิลาน และบรัสเซลล์ รวมถึงเพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทางภูมิภาคเอเชีย เพื่อรองรับปริมาณความต้องการเดินทางของผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น ทําให้บริษัทฯ มีเครือข่ายเส้นทางบินให้บริการครอบคลุม 62 จุดบิน ใน 27 ประเทศทั่วโลก โดยเป็น 8 จุดบินในประเทศ (ไม่รวมกรุงเทพมหานคร) อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) อยู่ที่ 77% สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 73.2% จากการปรับเครือข่ายเส้นทางบินที่เหมาะสม

รวมทั้งการสร้างพันธมิตรผ่านการทํารหัสเที่ยวบินรวม (Codeshare) รายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วย (รวมค่าธรรมเนียมชดเชยค่าน้ํามัน และค่าเบี้ยประกันภัย ไม่รวมค่าน้ําหนักส่วนเกิน) อยู่ที่ 2.66 บาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 13.4%

มาร์จิ้นพุ่งดัน Q2/68

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า THAI กำไรสุทธิไตรมาส 2/68 ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสก่อน (QoQ) และเพิ่มจาก 306 ล้านบาทงวดเดียวกันกับปีก่อน (YoY) หากไม่รวมกำไรพิเศษ หลักๆ คือ กำไรจากการยกเลิกสัญญาเช่าเครื่องบิน 5 พันล้านบาท มีกำไรปกติ 6.8 พันล้านบาท ลดลง 33% QoQ ตามฤดูกาล) เติบโตจาก 1.2 พันล้านบาท งวดเดียวกันปีก่อน หนุนด้วยมาร์จิ้นดีขึ้นเป็นหลัก

รายได้จากการดำเนินงานที่ 4.3 หมื่นล้านบาท เพิ่ม 1% YoY เป็นไปตาม Revenue Passenger Kilometers : RPK สูงขึ้น 16% YoY จากการเพิ่มเส้นทางบินในภูมิภาคยุโรป

รวมถึงเพิ่มความถี่เที่ยวบินในภูมิภาคเอเซีย และมี Cabin factor ที่ 77% โดยไตรมาส 2/67 ที่ 73% แต่ Passenger Yield ลงมาที่ 2.7 บาทต่อคนต่อ กม. ซึ่งในไตรมาส 2/67 ที่ 3.1 บาทต่อคนต่อ กม. เป็นไปตามการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรม รวมทั้ง Oil surcharge ต่ำลง

ด้าน OPEX อยูที่ 3.5 หมื่นล้านบาท ลดลง 9% YoY เพราะค่าน้ำมันเครื่องบิน สัดส่วน 33% ของ OPEX และ 26% ของรายได้ ซึ่งต่ำลง 18% YoY เป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน ลดลง 9% QoQ และลดลง 15% YoY ประกอบกับค่าซ่อมแซมบำรุงอากาศยาน (สัดส่วน 12% ของ OPEX) ลดลง 22% YoY

สาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสัญญาเช่าเครื่องบิน รวมถึงการแข็งค่าของค่าเงินบาท โดยรวม Operating profit margin (OPM) อยู่ที่ 20% จาก 11% งวดเดียวกันปีก่อน

เนื่องจากกำไรปกติในช่วงครึ่งแรกของปี68 ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท จากครึ่งปีแรกปี67 ที่ 7.6 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 61% ของประมาณการกำไรปกติฝ่ายวิจัย และ 63% ของ BB Consensus

โดยรายได้ช่วงครึ่งปีแรกคิดเป็นสัดส่วน 48% ของสมมติฐานฝ่ายวิจัยทั้งปี ภายใต้แนวโน้มรายได้ ผ่านจุดต่ำสุดรายไตรมาสตามฤดูกาล มองว่าฝั่งรายได้สอดคล้อง แต่ OPM งวดครึ่งปีแรกนี้ที่ 22% เทียบครึ่งแรกปี67 ที่ 17% ดีกว่าสมมติฐานฝ่ายวิจัยทั้งปีที่ 19% มีความเป็นไปได้ที่ประมาณการกำไร จะถูกปรับขึ้นจากทั้งฝ่ายวิจัยและตลาด

ราคาหุ้นมีโอกาสตอบสนองเชิงบวก จากการขยายตัวของกำไรปกติทั้งไตรมาส 2/68 เชิง YoY และทั้งปีที่มีแนวโน้มเด่นกว่ากลุ่มฯ และ Free Float ในการซื้อขายไม่สูงในช่วง 6 เดือนแรก คงเลือกเป็นหุ้นเด่นของกลุ่มท่องเที่ยวคู่กับ CENTEL