'โรคลีเจียนแนร์' ภัยเงียบจากระบบท่อน้ำ -แอร์ปรับอากาศ
19 สิงหาคม 2568 แพทย์หญิงจุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรคและนายแพทย์วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค ร่วมแถลงข่าวในหัวข้อ สิงหามั่นใจ รู้เท่าทันโรคและภัยสุขภาพ เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคลีเจียนแนร์ซึ่งเป็นโรคปอดอักเสบชนิดรุนแรงว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
จากข้อมูลปี 2568 มีรายงานพบผู้ป่วย 44 ราย เสียชีวิต 1 ราย อายุระหว่าง 4 - 88 ปี เป็นผู้ป่วยที่ได้รับรายงานจากต่างประเทศ 33 ราย และรายงานจากในประเทศไทย 11 ราย จำแนกเป็น ชาวต่างชาติ 35 ราย ชาวไทย 9 ราย
ทั้งนี้ โรคลีเจียนแนร์ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Legionella spp. พบในแหล่งน้ำ เช่น ระบบปรับอากาศ หัวฝักบัว อ่างน้ำ หอผึ่งเย็น ระบบท่อ หรือถังเก็บน้ำ ติดต่อผ่านการสูดละอองน้ำหรือไอน้ำที่มีเชื้อเข้าสู่ปอด ไม่ติดต่อจากคนสู่คน
นอกจากนี้สถานการณ์โรคลีเจียนแนร์ในนักท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม -12 สิงหาคม 2568 ผู้ป่วยสะสม จำนวน 34 ราย เสียชีวิต จำนวน 1 ราย แนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ 2567
อาการมักเริ่มภายใน 2 - 10 วัน หลังจากสัมผัสเชื้อโดยจะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ไอ มักเป็นไอแห้งแต่อาจมีเสมหะ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร อาจมีอาการระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย สับสนหรือมึนงงโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ กลุ่มเสี่ยงที่มีความรุนแรงมากขึ้นหากติดเชื้อ คือ ผู้สูงอายุ ผู้สูบบุหรี่ ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอดเรื้อรัง ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิ
แนะประชาชนหลังจากกลับมาจากท่องเที่ยว พักแรมให้สังเกตอาการ 10 วัน หากมีอาการดังกล่าว ให้รีบไปพบแพทย์
คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบกิจการที่พัก ควรบำรุงรักษาระบบน้ำและระบบปรับอากาศให้สะอาด ควบคุมอุณหภูมิน้ำให้ได้มาตรฐาน ทั้งในระบบและที่ปลายท่อ โดยน้ำร้อนอุณหภูมิควรอยู่ที่ 50 - 60 องศาเซลเซียส น้ำเย็นควรรักษาอุณหภูมิให้ต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส มีการติดตั้งและตรวจสอบระบบฆ่าเชื้อด้วยการใช้คลอรีนและอาจใช้ร่วมกับโอโซนหรือรังสียูวี (UV) ในระบบน้ำหมุนเวียน มีการเฝ้าระวังและตรวจสอบเชื้อในสิ่งแวดล้อมส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการสม่ำเสมอ เปิดใช้น้ำทุกจุดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งถ้าไม่มีผู้ใช้งาน