‘ปิยรัฐ-มานพ’ เผย กมธ.มั่นคงฯ ถกปัญหาผู้ลี้ภัย ชง 3 ระยะรับมือ
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 7 ส.ค. ที่รัฐสภา นายปิยรัฐ จงเทพ สส.กทม. พรรคประชาชน ในฐานะโฆษกกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ และนายมานพ คีรีภูวดล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แถลงผลการประชุม กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ
โดยนายปิยรัฐ กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ ได้มีการติดตามการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากคำสั่งทางการบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ต่อการระงับความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพโยกย้ายถิ่น ผู้หนีภัยการสู้รบ ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวและผู้ลี้ภัยในเมืองของประเทศไทย ทั้งในระยะเร่งด่วน ระยะปานกลาง ระยะยาว กมธ. ได้เชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องมา 3 หน่วยงาน ได้แก่ 1.นายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย โดยนายภูมิธรรม ก็ได้มอบหมายสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มาตอบแทน 2.นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยได้มอบหมาย นายรพี โล่ชัยยะกูล ผู้อำนวยการกองความมั่นคงภายในประเทศ มาตอบแทน 3.นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย
ด้านนายมานพ กล่าวว่า สำหรับประเด็นผู้หนีภัยการสู้รบในศูนย์ 9 แห่งของประเทศไทย ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จ.แม่ฮ่องสอน จ.ตาก จ.ราชบุรี โดยอยู่มาตั้งแต่ปี 2528 เป็นระยะเวลา 40 ปี โดยประเทศไทยได้มีการดูแล และมีหน่วยงานระหว่างประเทศมาช่วยเหลือ แต่หลังจากมีนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ระงับความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพ ปัญหาที่ตามมาคือจะเป็นภาระของคนในพื้นที่ที่ต้องดูแลกัน และจะส่งผลกระทบโดยตรงกับคนไทย
นายมานพ กล่าวอีกว่า ตนขอบคุณ สมช. ที่ได้มีการประชุมอนุว่าด้วยความมั่นคงภายใน เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 โดยมีมติออกมาที่มีการดำเนินการแนวทางอยู่ 3 ระยะ 1.ระยะเร่งด่วน ได้แก่ ความจำเป็นเรื่องของอาหารโดยเป็นสิ่งที่ประชาชนที่อยู่ในศูนย์อพยพจำเป็นต้องต้องใช้ โดยได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นคนประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลในเรื่องนี้ 2.ระยะปานกลาง ต้องมาดูกันว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนที่อยู่ในศูนย์พักพิงทั้ง 9 แห่ง พึ่งพาตนเองได้ เช่น ให้ออกมาประกอบอาชีพเลี้ยงชีพได้ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงศูนย์พักพิงอพยพ
นายมานพ กล่าวอีกว่า 3.ระยะยาว อาจจะสามารถออกมาประกอบอาชีพลูกจ้างในพื้นที่ใกล้เคียงหรือพื้นที่ในเมืองได้ ซึ่งรายละเอียดในข้อกฎหมาย ทางสมช. และกระทรวงมหาดไทย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องไปพิจารณาในรายละเอียด อีกเรื่องเป็นประเด็นในเรื่องของการส่งกลับ โดยเป็นบุคคลที่สามารถเป็นอาสาสมัครที่จะกลับไปอยู่ในต้นทางได้
นายมานพ กล่าวอีกว่า ประเด็นเร่งด่วนที่ กมธ. อยากให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คือเรื่องศูนย์ประสานงาน เพราะเราไม่รู้เลยว่าแต่ละศูนย์มีเรื่องใดบ้างที่ขาดเหลือในเรื่องของความจำเป็น อีกทางเพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปตามมติของ สมช. ย้ำว่ากระทรวงมหาดไทยจำเป็นต้องมีศูนย์ประสานงานในพื้นที่ศูนย์ผู้หนีภัย 9 แห่ง รวมถึงประสานงานกับศูนย์ต่างประเทศ
นายมานพ กล่าวอีกว่า กมธ. มีเรื่องที่อยากให้ สมช. พิจารณาเป็นกรณีพิเศษ โดยปัจจุบันในพื้นที่อพยพ หรือประชาชนประเทศเมียนมาที่อยู่ในประเทศไทย หลายคนเป็นบุคลากรที่มีศักยภาพการทำงานที่สูง ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ วิศวะ ครู เราจึงอยากให้ สมช. ช่วยดูในเรื่องของระเบียบที่จะสามารถเปิดโอกาสให้บุคลากรชาวเมียนมา หรือประชาชนที่อยู่ในศูนย์อพยพที่มีศักยภาพหรือที่มีทักษะเฉพาะทาง สามารถไปทำงานเป็นผู้ช่วยได้หรือไม่ ภายหลังจากนี้เราจะทำเอกสารส่งต่อไปยังนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป