จับตาธุรกิจรักษาภาวะมีบุตรยาก มูลค่าตลาดกว่า 6 พันล้านบ.
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น - ศูนย์วิจัยกสิกร ระบุว่า ตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากของไทยในปี 2568 คาดมีมูลค่าราว 6.1 พันล้านบาท ขยายตัว 3.1% จากความต้องการใช้บริการที่ยังเพิ่มขึ้นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสอดคล้องไปกับเทรนด์โลก แต่ ชะลอลงจากปีก่อนที่โต 4.3% ตามจำนวนผู้มารับบริการต่างชาติที่โตช้าลง รวมถึงมีปัจจัยกดดันจากภาวะเศรษฐกิจกำลังซื้อที่ลดลงของคนในประเทศ
• ในปี 2568 มูลค่าตลาดผู้รับบริการชาวไทย คาดว่าจะขยายตัว 2.8% จากค่านิยมมีบุตรช้าลง และปัญหาด้านการเจริญพันธุ์ที่มีความซับซ้อนและมีสาเหตุมาจากเพศชายมากขึ้น ทำให้ต้องพึ่งพาวิธีการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ขณะที่มูลค่าตลาดผู้รับบริการชาวต่างชาติคาดว่าจะขยายตัว 3.5% โดย มีแรงหนุนจากราคาและคุณภาพบริการที่ยังโดดเด่น รวมถึงการขยายตลาดใหม่ของธุรกิจ
แนวโน้มตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากของโลก
ในปี 2568 ตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากของโลกคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 2.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 6.8% จากปีก่อน (รูปที่ 2) มูลค่าตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากของโลกยังมีทิศทางเติบโต นำโดยการบริการรักษาด้วยวิธีทำเด็กหลอดแก้ว (In Vitro Fertility: IVF) ที่มีสัดส่วนมากกว่า 80% ของมูลค่าตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากของโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่คาดว่าส่วนแบ่งตลาดการรักษาด้วยวิธี IVF จะเพิ่มขึ้นจาก 22% ในปี 2563 ไปเป็น 26% ในปี 2573 จากหลายประเทศเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยในระดับที่รุนแรงขึ้น
อัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลง และปัญหาการเจริญพันธุ์ หนุนตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก
อัตราการเจริญพันธุ์ของโลกมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากในปี 2513 ที่ผู้หญิง 1 คนมีบุตรจำนวน 4.8 คน เหลือเพียง 2.2 คน ในปี 2568 (รูปที่ 3) รวมถึงค่านิยมในการมีบุตรที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้คู่สมรสทั่วโลกมีบุตรช้าลง สะท้อนจากอายุเฉลี่ยในการคลอดบุตรคนแรกที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นจนปัจจุบันอยู่ที่ราว 28 ปี เทรนด์ดังกล่าวส่งผลให้ตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
นอกจากนี้ ปัญหาด้านการเจริญพันธุ์ที่พบบ่อยขึ้นทั่วโลก ยังหนุนการเดินทางออกไปรับบริการรักษาภาวะมีบุตรยากในต่างประเทศ (Fertility Tourism) ที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 3 หรือราว 14% ของมูลค่าตลาดการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของโลก1 ให้ยังขยายตัว ทั้งนี้ การเติบโตของตลาด Fertility Tourism ของโลก ส่งผลให้ไทยน่าจะได้รับอานิสงส์จากการเดินทางเข้ามารับบริการรักษาภาวะมีบุตรยากของชาวต่างชาติมากขึ้น
แนวโน้มตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากของไทย
ในปี 2568 คาดว่าตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากของไทยจะมีมูลค่าราว 6.1 พันล้านบาท เติบโต 3.1% ชะลอลงจากปี 2567 ที่โต 4.3% (รูปที่ 4) โดยตลาดแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ลูกค้าชาวไทย มีสัดส่วน 70% ของผู้มาใช้บริการทั้งหมด และลูกค้าชาวต่างชาติอีก 30%
มูลค่าตลาดรวมในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตชะลอลงจากปีที่ผ่านมา โดยเป็นผลมาจากการเดินทางเข้ามารับบริการของชาวต่างชาติที่เติบโตช้าลง ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว สอดคล้องไปกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยที่มีทิศทางหดตัวจากปีก่อน ขณะที่ตลาดชาวไทยยังมีแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจกำลังซื้อที่ลดลง ทำให้บางส่วนอาจตัดสินใจเลื่อนแผนการมีบุตรออกไป
ส่วนรายได้ของธุรกิจผู้ให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากในปีนี้ คาดว่าอัตราการเติบโตจะลดลง ตามจำนวนผู้มารับบริการ/รอบการเก็บไข่ที่ไม่ได้เร่งตัวเหมือนปีก่อนหน้า โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 1 ที่ยังมีผลของค่านิยมคลอดบุตรในปีมังกร ขณะเดียวกัน ธุรกิจยังมีปัจจัยกดดันจากต้นทุนการดำเนินงานที่สูง อาทิ การลงทุนขยายสาขาหรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ค่าทำการตลาด รวมถึงค่าตอบแทนบุคลากรที่มีสัดส่วนราว 30%-40% ของต้นทุนรวม ส่งผลให้อัตรากำไรมีแนวโน้มลดลง
ตลาดผู้รับบริการรักษาภาวะมีบุตรยากชาวไทย
มูลค่าตลาดชาวไทยที่มารับบริการรักษาภาวะมีบุตรยากคาดอยู่ที่ 3.38 พันล้านบาท ขยายตัว 2.8% ในปี 2568 (รูปที่ 5) จากค่านิยมมีบุตรช้าลง และปัญหาด้านการเจริญพันธุ์
มูลค่าตลาดชาวไทยที่มีสัดส่วนกว่า 55% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ยังเติบโตได้ตามสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้คู่สมรสชาวไทยนิยมมีบุตรช้าลง สะท้อนจากสัดส่วนการคลอดของหญิงไทยที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เคยมีสัดส่วนราว 35% ในปี 2555 คาดว่าจะขยับมาเป็น 46% ในปี 2568 (รูปที่ 6) รวมถึงหลายคู่ประสบภาวะมีบุตรยากจากปัญหาสุขภาพ เช่น ความไม่สมบูรณ์ของฮอร์โมน โรคอ้วน และโรคเครียดจากการทำงาน เป็นต้น
การรักษาด้วยวิธีเด็กหลอดแก้วแบบ ICSI ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้รับบริการชาวไทย
การรักษาด้วยวิธีเด็กหลอดแก้วแบบ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) ที่มีค่าใช้จ่ายสูง ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้รับบริการชาวไทย จากสาเหตุการมีบุตรยากที่มีความซับซ้อนและเกิดจากเพศชายมากขึ้น
อีกหนึ่งปัจจัยหนุนมูลค่าตลาดชาวไทย มาจากการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธีผสมเทียม (IUI) ที่เริ่มได้รับความนิยมน้อยลง สะท้อนจากช่วงหลังโควิด จำนวนรอบการรักษาด้วยวิธี IUI มีสัดส่วนลดลงจาก 31% ในปี 2565 คาดว่าจะเหลือเพียง 28% ในปี 2568 เช่นเดียวกับการทำเด็กหลอดแก้วแบบปกติ (IVF) ที่อัตราการเติบโตของรอบการรักษาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 1.2% ต่อปี ขณะที่การรักษาด้วยการทำเด็กหลอดแก้วแบบเฉพาะเจาะจง (ICSI) มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7.2% ต่อปี (CAGR ปี 2565-2568)
แนวโน้มการรักษาด้วย ICSI ที่เติบโตขึ้นดังกล่าว สอดคล้องไปกับผู้ประกอบการในธุรกิจที่ระบุว่าระยะหลังภาวะมีบุตรยากที่พบในคู่สมรสชาวไทยมีความซับซ้อน และพบว่าเกิดในฝั่งเพศชายมากขึ้นจากความไม่สมบูรณ์ของน้ำเชื้ออสุจิ ตามพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ และความผิดปกติที่เกิดจากการใช้ยารักษาโรคบางชนิด เป็นต้น ซึ่งการรักษาด้วย ICSI ที่เป็นนวัตกรรมใหม่จะให้อัตราความสำเร็จที่สูงกว่าวิธีอื่น ๆ หากผู้รักษามีภาวะข้างต้น
ตลาดผู้รับบริการรักษาภาวะมีบุตรยากชาวต่างชาติ
มูลค่าตลาดต่างชาติที่เดินทางมารับบริการรักษาภาวะมีบุตรยากคาดอยู่ที่ 2.75 พันล้านบาท ขยายตัว 3.5% ในปี 2568 (รูปที่ 7) จากไทยที่ยังมีจุดเด่นด้านราคาและคุณภาพการบริการ
มูลค่าตลาดต่างชาติที่มีสัดส่วนกว่า 45% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด ยังคงเติบโต จากผู้รับบริการในกลุ่มประเทศจีน อินเดีย และอาเซียน ที่นิยมเดินทางเข้ามารักษาภาวะมีบุตรยากในไทยต่อเนื่องแม้ปีนี้ลูกค้าหลักอย่างชาวจีนอาจชะลอลง ตามภาวะเศรษฐกิจจีนที่ยังเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยง แต่ภาพรวมไทยยังเป็นหนึ่งในจุดหมายหลักของการเดินทางมารับบริการจาก Fertility Tourism ที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็น
เหตุผลที่ไทยเป็นจุดหมายสำคัญสำหรับ Fertility Tourism
ค่ารักษาพยาบาลที่เข้าถึงได้: ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสำหรับการทำ IVF ในไทยอยู่ที่ประมาณ 6,000 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งต่ำกว่าคู่แข่งสำคัญอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย นอกจากนี้ จำนวนสถานพยาบาลไทยที่ได้มาตรฐาน Joint Commission International (JCI) ก็มีมากกว่าหลายประเทศ (รูปที่ 8)
นโยบายสนับสนุนการมีบุตรของรัฐบาลจีน: รัฐบาลจีนได้ผ่อนปรนให้มีบุตรคนที่ 3 และล่าสุดยังให้เงินช่วยเหลือการเลี้ยงบุตรสำหรับเด็กเกิดใหม่ปีละ 3,600 หยวนต่อเด็ก 1 คนจนอายุ 3 ขวบ เพื่อจูงใจให้คนมีบุตร ท่ามกลางวิกฤติประชากรจีนที่ลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2565 ทำให้คาดว่ารัฐบาลจีนจะยังใช้นโยบายเหล่านี้ในระยะกลาง-ยาว ซึ่งส่งผลให้ไทยที่เป็นหนึ่งในจุดหมายหลักของการเดินทางมารับบริการรักษาภาวะมีบุตรยากของชาวจีน น่าจะได้อานิสงส์จากการบริการภายในประเทศจีนที่ยังไม่เพียงพอ
- การบังคับใช้ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม: การบังคับใช้กฎหมายนี้ทำให้ต้องมีการปรับแก้กฎหมายลูกต่างๆ ให้สอดรับกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม โดยเฉพาะการยอมให้คู่สมรสเพศเดียวกันมีบุตรได้ผ่านการใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากของไทยให้เปิดกว้างมากขึ้น ครอบคลุมไปถึงกลุ่มความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ที่ปัจจุบันในไทยมีอยู่ราว 5.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 9% ของจำนวนประชากรไทยทั้งหมด และคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะข้างหน้า
- การเตรียมปรับกฎหมายอุ้มบุญของไทย: โดยเฉพาะการยอมให้คู่สมรสเพศเดียวกัน และชาวต่างชาติสามารถใช้บริการอุ้มบุญได้ หากมีการปรับแก้สำเร็จ คาดว่าจะมีส่วนหนุนให้การบริการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ของไทยเติบโตได้เพิ่มมากขึ้น แต่ทั้งนี้ยังคงต้องติดตามรายละเอียดของการปรับกฎหมายดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอ ครม. พิจารณา
- เทรนด์ "มีลูกเมื่อพร้อม" หนุนบริการแช่แข็ง/ฝากไข่โตทั่วโลก: สะท้อนจากมูลค่าตลาดบริการแช่แข็ง/ฝากไข่ของโลกที่คาดว่าจะโตเฉลี่ยปีละ 8% (CAGR 2566-2571) สูงกว่าอัตราการเติบโตของบริการอื่นๆ ในตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก ทำให้ไทยอาจแข่งขันในตลาด Fertility Tourism ได้มากขึ้นจากกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเข้มงวดน้อยกว่าบางคู่แข่ง เช่น สิงคโปร์มีการกำหนดช่วงอายุสตรีที่รับบริการได้อยู่ระหว่าง 21-37 ปี และมาเลเซียกำหนดให้สตรีโสดที่จะแช่แข็ง/ฝากไข่ได้ต้องไม่ใช่ชาวมุสลิม เป็นต้นความพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวก: ไทยมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ชาวต่างชาติ นอกเหนือจากการรักษาพยาบาล เช่น โรงแรม/ที่พัก ร้านอาหาร ศูนย์การค้า รวมถึงการออก Medical Treatment Visa ให้แก่ผู้มารับบริการชาวต่างชาติที่ต้องพำนักในไทยเพื่อติดตามผลการรักษา
ตลาดชาวต่างชาติ: ศักยภาพและโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่ม
กลุ่มผู้รับบริการชาวต่างชาติยังคงเป็นตลาดศักยภาพ สะท้อนจากการที่ธุรกิจเน้นทำการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้ให้มาใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจบริการรักษาภาวะมีบุตรยากในไทยเน้นทำการตลาดผ่านช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ รวมถึงตัวแทน (Agent) เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติให้มารับบริการในไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งค่าใช้จ่ายในการรักษาภาวะมีบุตรยากของชาวต่างชาติสูงกว่าชาวไทยราว 1 เท่าตัว จากต้องมีบริการเสริมอื่น ๆ เพิ่มเติมในแพ็กเกจการรักษา (ล่าม รถรับส่ง ค่า Commission เป็นต้น) ดังนั้น การขยายตลาดศักยภาพใหม่ๆ เช่น สหภาพยุโรป และตะวันออกกลาง จึงสะท้อนโอกาสสร้างรายได้ส่วนเพิ่มของธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่มีสัดส่วนรายได้จากชาวต่างชาติราว 20%-30% ของรายได้รวม
โอกาสของธุรกิจบริการรักษาภาวะมีบุตรยากในระยะข้างหน้า
นโยบายสนับสนุนการมีบุตรของรัฐบาลจีน: รัฐบาลจีนได้ผ่อนปรนให้มีบุตรคนที่ 3 และล่าสุดยังให้เงินช่วยเหลือการเลี้ยงบุตรสำหรับเด็กเกิดใหม่ปีละ 3,600 หยวนต่อเด็ก 1 คนจนอายุ 3 ขวบ เพื่อจูงใจให้คนมีบุตร ท่ามกลางวิกฤติประชากรจีนที่ลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2565 ทำให้คาดว่ารัฐบาลจีนจะยังใช้นโยบายเหล่านี้ในระยะกลาง-ยาว ซึ่งส่งผลให้ไทยที่เป็นหนึ่งในจุดหมายหลักของการเดินทางมารับบริการรักษาภาวะมีบุตรยากของชาวจีน น่าจะได้อานิสงส์จากการบริการภายในประเทศจีนที่ยังไม่เพียงพอ
การบังคับใช้ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม: การบังคับใช้กฎหมายนี้ทำให้ต้องมีการปรับแก้กฎหมายลูกต่างๆ ให้สอดรับกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม โดยเฉพาะการยอมให้คู่สมรสเพศเดียวกันมีบุตรได้ผ่านการใช้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากของไทยให้เปิดกว้างมากขึ้น ครอบคลุมไปถึงกลุ่มความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) ที่ปัจจุบันในไทยมีอยู่ราว 5.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 9% ของจำนวนประชากรไทยทั้งหมด และคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะข้างหน้า
การเตรียมปรับกฎหมายอุ้มบุญของไทย: โดยเฉพาะการยอมให้คู่สมรสเพศเดียวกัน และชาวต่างชาติสามารถใช้บริการอุ้มบุญได้ หากมีการปรับแก้สำเร็จ คาดว่าจะมีส่วนหนุนให้การบริการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ของไทยเติบโตได้เพิ่มมากขึ้น แต่ทั้งนี้ยังคงต้องติดตามรายละเอียดของการปรับกฎหมายดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมเสนอ ครม. พิจารณา
เทรนด์ "มีลูกเมื่อพร้อม" หนุนบริการแช่แข็ง/ฝากไข่โตทั่วโลก: สะท้อนจากมูลค่าตลาดบริการแช่แข็ง/ฝากไข่ของโลกที่คาดว่าจะโตเฉลี่ยปีละ 8% (CAGR 2566-2571) สูงกว่าอัตราการเติบโตของบริการอื่นๆ ในตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก ทำให้ไทยอาจแข่งขันในตลาด Fertility Tourism ได้มากขึ้นจากกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเข้มงวดน้อยกว่าบางคู่แข่ง เช่น สิงคโปร์มีการกำหนดช่วงอายุสตรีที่รับบริการได้อยู่ระหว่าง 21-37 ปี และมาเลเซียกำหนดให้สตรีโสดที่จะแช่แข็ง/ฝากไข่ได้ต้องไม่ใช่ชาวมุสลิม เป็นต้น
ความเสี่ยงของธุรกิจบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก
การแข่งขันมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล: เนื่องจากเป็นที่ตั้งของสถานพยาบาลมากกว่า 70% ของผู้ให้บริการทั้งหมด รวมถึงสถานพยาบาลจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่เริ่มเข้ามารุกตลาดในไทยมากขึ้นในลักษณะการร่วมลงทุนกับสถานพยาบาลในไทยที่มีความพร้อมทั้งด้าน
ความเสี่ยงของธุรกิจบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก (ต่อ)
การแข่งขันที่รุนแรงและการลงทุนด้านเทคโนโลยี: ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานพยาบาลกว่า 70% ของผู้ให้บริการทั้งหมด รวมถึงการรุกตลาดของสถานพยาบาลจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านการร่วมลงทุนกับสถานพยาบาลในไทยที่มีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญ อย่างไรก็ดี รายได้ของธุรกิจนี้ยังขึ้นอยู่กับมาตรฐานและอัตราความสำเร็จเป็นสำคัญ ส่งผลให้ธุรกิจจำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพการบริการ และต้องมีการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จ เพื่อรักษารายได้และอัตรากำไรในระยะยาว
บุคลากรเฉพาะทางที่จำกัด: จำนวนบุคลากรที่มีความชำนาญเฉพาะด้านการรักษาภาวะมีบุตรยากมีจำกัด โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์การเพาะเลี้ยงตัวอ่อน เนื่องจากยังไม่มีหลักสูตรอุดมศึกษาในไทยที่เปิดสอนด้านนี้โดยตรง ส่งผลให้ธุรกิจต้องมีการวางแผนกำลังคน จัดฝึกอบรมนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกำหนดนโยบายค่าตอบแทนที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนหรือการย้ายงานของบุคลากรดังกล่าวในอนาคต
การเปลี่ยนแปลงมาตรการอุดหนุนในต่างประเทศและเทคโนโลยีใหม่: การเปลี่ยนแปลงมาตรการอุดหนุนการรักษาภาวะมีบุตรยากในประเทศของคนไข้ต่างชาติ เช่น ภายในปี 2568 รัฐบาลจีนจะขยายการอุดหนุนการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ (ART services) ผ่านระบบประกันสุขภาพพื้นฐานครอบคลุม 31 มณฑล ปัจจัยดังกล่าวอาจส่งผลต่อการตัดสินใจมารับบริการในไทยของคนไข้ชาวจีนบางกลุ่ม นอกจากนี้ ธุรกิจยังมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีที่อาจส่งผลต่ออัตราความสำเร็จและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ เช่น การใช้ AI คัดเลือกตัวอ่อน และเทคโนโลยี In Vitro Gametogenesis (IVG) เป็นต้น