MOODY: “เป็นหนูหนูไม่พูดนะคะ มารยาทนิดนึง” ควรรับมืออย่างไร ในวันที่ใครบางคนพูดจาหยาบคาย ด้วยอารมณ์รุนแรงใส่เรา
เป็นคุณจะทำอย่างไร หากเจอคนมาพูดจาหยาบคายใส่?
ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในแต่ละวันเราจะพบใครบางคนที่พูดจาไม่ดี ใส่อารมณ์ หรือปฏิบัติต่อเราอย่างหยาบคายแบบไม่เกรงใจ บางครั้งเขาอาจเป็นคนแปลกหน้าบนรถไฟฟ้า บ่อยครั้งอาจเป็นเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศ หรือบางทีกลับเป็นคนใกล้ตัวเสียเองที่ใช้คำพูดรุนแรงใส่ แน่นอนว่าเป็นใครก็อยากโต้กลับแบบแรงมาก็แรงกลับ
เพราะพฤติกรรมหยาบคายไม่ใช่เรื่องที่เราต้องยอมรับ แต่ MOODY อยากชวนให้ทุกคนหายใจเข้าออกหนึ่งครั้ง ให้ใจเย็นลงสักหน่อย แล้วมองว่าเราไม่จำเป็นต้องตอบโต้กลับด้วยความรุนแรง เนื่องจากบางครั้งคำพูดธรรมดาๆ ที่เปล่งออกมาด้วยความสงบ ก็สามารถเขย่าความหยาบกร้านในใจใครบางคนให้เบาลงได้มากกว่าการปะทะที่รุนแรง ลองเริ่มจากประโยคง่ายๆ อย่าง
“คุณดูหงุดหงิดนะ มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”
“ฉันทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่า?”
นี่ไม่ใช่แค่คำถาม แต่คือการยื่นมือออกไปให้เขาได้สังเกตตัวเอง โดยเปลี่ยนบทสนทนาจากการชวนปะทะ มาเป็นการชวนให้หันกลับมามองข้างในของตัวเขาเอง บางทีเขาอาจแค่ต้องการใครสักคนที่สังเกตว่าวันนี้เขาไม่ปกติดีเท่าไร
แต่ถ้าคำพูดที่เราได้ยินนั้น ชัดเจนว่าก้าวข้ามเส้นความเหมาะสมไปแล้ว ลองประโยคอย่าง
“ฉันแปลกใจนะที่คุณกล้าพูดแบบนั้นออกมา”
“คุณกำลังฟังตัวเองอยู่หรือเปล่า”
การใช้วลีเหล่านี้ คือการที่เรากำลังบอกคนพูดว่าสิ่งที่พวกเขากำลังพูดนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และบางทีพวกเขาอาจต้องประเมินคำพูดของตนเองใหม่ ยังมีงานวิจัยพบว่าการเตือนผู้อื่นว่าพวกเขากำลังหยาบคายสามารถทำให้พวกเขาตระหนักว่าต้องแก้ไขพฤติกรรมของตนเอง หรือบางครั้งเราอาจไม่จำเป็นต้องเตือนเขาโดยตรง แค่ถามว่า
“ช่วยพูดอีกทีได้ไหม”
ไม่ใช่การขอซ้ำเพราะไม่ได้ยิน แต่คือการบอกว่า สิ่งที่คุณพูดออกมานั้นแรงพอจะทำให้ฉันต้องหยุด และคิดว่ามันเหมาะสมไหมที่จะพูดใส่กันแบบนี้ หรือบางครั้ง ถ้อยคำที่ดึงพลังงานลบให้กลับมาอยู่บนเส้นทางของความร่วมมือ อาจมาในรูปแบบของคำถามอย่าง
“เราจะหาทางทำให้เรื่องนี้เวิร์กสำหรับเราทั้งคู่ได้ยังไงดี?”
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเรายอมแพ้ แต่หมายความว่าเรากำลังวางขอบเขตอย่างสงบ และยื่นเชิญชวนให้อีกฝ่ายลองเลือกความร่วมมือแทนความขัดแย้ง หรือเมื่อเรารู้ว่าอีกฝ่ายแค่ต้องการมีตัวตน คำพูดง่ายๆ อย่าง
“ฉันเข้าใจในสิ่งที่คุณพูดนะ”
“ฉันดีใจที่คุณแบ่งปันมุมมองของคุณกับฉัน”
ประโยคเหล่านี้อาจเป็นสิ่งเดียวที่เขารอฟังจากใครสักคนมานานแสนนาน การได้รับการยอมรับแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้หัวใจที่แข็งทื่อ เริ่มคลายลงได้ แต่ในบางครั้งหากถ้อยคำของเขารุนแรงเกินกว่าที่เราจะรับได้ ให้ลองถามคำถามอย่าง
“ฉันรู้ว่าคุณอารมณ์เสีย ลองใจเย็นๆ มีอะไรที่อยากเล่าให้ฟังไหม”
จะช่วยเปลี่ยนทิศทางของบทสนทนา โดยยังคงเปิดพื้นที่ให้เขาแสดงความรู้สึก แต่ขอให้เขาทำในแบบที่เคารพกัน และถ้าทุกอย่างยังไม่เปลี่ยนแปลงเลย การพูดว่า
“หยุดเถอะ”
ด้วยน้ำเสียงสงบและจริงใจ ก็อาจเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่ใช่เพื่อควบคุมอีกฝ่าย แต่เพื่อปกป้องตัวเราเอง
อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งถ้อยคำใดๆ ก็ไม่อาจเทียบเท่าพลังของ ‘ความเงียบ’ เพียงการมองเขานิ่งๆ โดยไม่พูดอะไรเลย อาจกลายเป็นกระจกบานใหญ่ที่ช่วยสะท้อนสิ่งที่เขาควรเห็นโดยที่เราไม่ต้องพูดอะไรแม้แต่คำเดียว เพราะมันเป็นการปฏิเสธความรุนแรงโดยสิ้นเชิง
และหากรู้สึกว่าความโกรธในตัวเองกำลังพุ่งขึ้น การเดินออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้น ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเราเลือกที่จะเคารพตัวเองมากแค่ไหน
เราทุกคนต่างมีขอบเขต มีหัวใจ และมีพื้นที่ส่วนตัวที่ควรได้รับความเคารพ
และวิธีที่เราปกป้องสิ่งเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องแข็งกร้าว ก้าวร้าว แต่อาจใช้เพียงความสงบ มั่นคง และน้ำเสียงของมนุษย์ที่ยังอยากเชื่อในความอ่อนโยน
ในวันที่ทุกคนต้องเผชิญกับคนที่ใจร้อน หยาบคาย หรือเจ็บปวดเกินควบคุม MOODY คิดว่าคุณไม่จำเป็นต้องยื่นดาบ ตั้งเกราะขึ้นมาเท่านั้น แต่สามารถพูดด้วยหัวใจที่มั่นคง สื่อสารด้วยถ้อยคำที่เคารพตัวเอง และเปิดพื้นที่ให้ความเข้าใจเข้าไปอยู่แทนที่ความรุนแรง ก็สามารถช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้เหมือนกัน