'บล.บัวหลวง' คาดครึ่งปีหลัง ปมการเมืองกด‘หุ้นไทย’ ไตรมาส 3 พักฐาน
ตลาดหุ้นไทย ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.- ก.ค. 2568) ให้ผลตอบแทนติดลบ 10.06% โดยยังคงเผชิญความไม่แน่นอนจากหลากหลายปัจจัยทั้งแรงกดดันจากภาษีนำเข้าสหรัฐ ความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย และเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
สอดคล้องกับนักวิเคราะห์ปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ต่อเนื่อง โดยได้ปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2568 ลงจาก 92 บาทต่อหุ้น เหลือ 82 บาทต่อหุ้น จากงบการเงินครึ่งปีแรก (อัตราการปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้นน้อยลงในเดือนมิ.ย.-ก.ค. ที่ผ่านมา)
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง หรือBLS เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4 ปี 2568 ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงรอติดตามความชัดเจนคดีทางการเมืองในวันที่ 29 ส.ค. นี้ หลังจากตลาดหุ้นไทยดัชนีฯ ปรับตัวขึ้นแรงก่อนหน้านี้ รวมถึงในช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยแตะระดับต่ำสุด และทิศทางเม็ดเงินต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้าไม่แรงเหมือนช่วงก่อนหน้า เนื่องจากไตรมาส 3 น่าจะช่วงของการพักฐาน จากช่วงก่อนหน้านี้ฟันด์โฟลว์เข้ามาซื้อหุ้นไทยค่อนข้างมากและเร็ว เพราะหุ้นไทยราคาถูกเกินไป แต่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ด้านสถานการณ์การเมืองในประเทศ ประเมินว่า หาก 29 ส.ค.นี้ หากภาพการเมืองไทยออกมา “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตั้ง “ชัยเกษม นิติสิริ” มาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ไม่ยุบสภา คาดว่าจะไม่มีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยมาก และมองการปรับฐานลงมารอบนี้เลวร้ายสุดที่ระดับ 1,150 จุด เท่านั้น
“ยุบสภาไม่น่าเกิดขึ้น หากยุบสภาตอนนี้ เพื่อไทย น่าจะเหลือคะแนนเสียงต่ำร้อย มองว่าตลาดสไตล์เพื่อไทย น่าจะยื้อให้นานที่สุด จนถึงต้นปีหน้า ช่วงนี้พยายามผ่านงบ ช่วงชิงการได้เปรียบเลือกตั้ง แต่กรณี น.ส.แพทองธาร ชิงลาออก คนมองว่าตลาดปรับขึ้นแต่เราไม่มองเช่นนั้น เพราะการเมืองไทยยังไม่น่ามีอะไรมาเปลี่ยนแลนด์สแคปใหม่”
หรือหากมีปัจจัยเซอร์ไพร์สแย่กว่าที่คาด เรายังมองแนวรับเดิม 1,050 จุด ที่รับข่าวมาตรการภาษีทรัมป์เก็บ 30-50% ไปแล้ว ยังเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง และภาพการเมืองไทยกรณียุบสภา มองว่ามีโอกาสเกิดน้อย และการเมืองไทย ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงฉากทัศน์ใหม่แต่อย่างใด จึงคาดว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่เกิดแนวรับใหม่ (นิวโลว์ใหม่) หากตลาดหุ้นไทยจะเกิดนิวโลว์เราประเมินว่าต้องเกิดจาก 2 กรณี คือ เศรษฐกิจสหรัฐถดถอยรุนแรง และการเมืองไทยมีปัญหา
อย่างไรก็ตาม หากความเสี่ยงทางการเมืองไม่มีความรุนแรงและสามารถหาจุดลงตัวได้ ขณะเดียวกัน มาตรการภาษีของสหรัฐมีแนวโน้มไม่ส่งผลกระทบเกินคาด เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยใกล้เคียงกับประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน ดังนั้น ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว ประเมินว่ามีโอกาสที่หุ้นไทยจะค่อย ๆ ฟื้นตัวสู่เป้าหมาย SET Index สิ้นปี 2568 ในกรอบ 1,280-1,300 จุด โดยอ้างอิงสมมติฐานการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ 6.6% และค่า P/E เฉลี่ย 15.7 เท่า
ขณะที่ ในปีหน้าตลาดหุ้นไทยมีอัปไซด์ในกรอบ 1,400-1,450 จุด หากปัจจัยในประเทศ อย่าง การเมืองไทยไม่มีปัญหา และช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ เห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจากไตรมาส 3 นี้ ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1 ครั้ง ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และอีก 1 ครั้ง ในปี 2569 สอดคล้องกับแนวโน้มเงินเฟ้อไทยที่ยังอยู่ระดับต่ำที่ 1%
ทางด้านปัจจัยนอกประเทศ เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัว หากตัวเลขเงินเฟ้อได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้า ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ประมาณ 1-2 ครั้ง รวม 0.50% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และอาจปรับลดเพิ่มเติมในปี 2569
นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการ นักกลยุทธ์ปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทย ภายใต้กรอบดังกล่าวที่ยังมี อัปไซด์ปีหน้า แนะนำนักลงทุนใช้จังหวะที่ตลาดปรับฐานลงมารอบนี้ เป็นโอกาส ทยอยสะสมหุ้น แบ่งพอร์ตระยะสั้นและระยะยาว สำหรับพอร์ต ระยะสั้น เป็นหุ้นปันผลและสูงต่อเนื่อง คือมีกำไรโตรมาส 2 ไม่ต่ำคาดแรง (ไม่เกิน 10%) มีรายได้ไตรมาส 2ไม่หดตัวแรง (ไม่เกิน5%) มีกำไรไตรมาส 3 โตต่อทั้งจากช่วงเดียวกันปีก่อน( YoY) หรือฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ( QoQ) และไม่เห็นการปรับกำไรลงแรง ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา โดยยังมีปัจจัยบวกหนุนการฟื้นตัวชัดเจน เช่น COM7 ADVICE DELTA KTB ADVANC GULF
ส่วนพอร์ตระยะยาว มองว่า หุ้นกลุ่ม “Global Play” ที่มีการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกและมูลค่าหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เช่น กลุ่มปิโตรเคมี, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ผลิตอาหารสัตว์ มีแนวโน้มจะเป็นกลุ่มนำตลาดรอบนี้ สะสมก่อนฟื้นตัวรอบใหม่ SPGC SCC