SOCIETY: ในวันที่โลกเปลี่ยนไป ‘การสอนเพศศึกษาไทย’ ไปถึงไหนแล้ว? สำรวจความท้าทายของระบบการศึกษาไทย เกี่ยวกับความรู้เรื่องเพศในโรงเรียน
‘โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์’ หนึ่งในประเด็นปัญหาที่ยังคงน่าเป็นห่วงในสังคมไทยแม้ประเทศไทยเองจะมีการแพทย์รักษาโรคติดต่อทั้งก่อนและหลังติดอย่างยาต้านไวรัสสำหรับเอชไอวี PrEP และ PEP แต่สถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กลับยังเพิ่มขึ้นอยู่เสมอโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน
ดังข้อมูล จากกระทรวงสาธารณสุขประจำปี 2568 เผยว่าประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์รายใหม่ โดยเฉพาะเชื้อเอชไอวีถึง 13,357 ราย ขณะที่มีผู้ติดเชื้อเดิมอยู่ที่ 547,556 ราย โดยสัดส่วนอายุของกลุ่มผู้ติดเชื้อที่มากที่สุดคือ กลุ่มอายุ 14-24 ปี ตามรายงานจากเพจ HIV Education กล่าวถึงสาเหตุการติดเชื้อเพิ่มขึ้นไว้ว่า เกิดจากการขาดความรู้เรื่องเพศอย่างรอบด้าน ทั้งการป้องกัน การเข้าถึงบริการสุขภาพทางเพศ
นอกจากนี้กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ยังเผยว่า ปี 2568 พบผู้ป่วยซิฟิซิส 12,485 ราย และคาดว่าปีนี้จะพบผู้ติดเชื้อถึง 29,068 โดยกลุ่มอายุ 15-24 เป็นอายุที่มีความเสี่ยงมากที่สุด ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาเรื่องความเข้าใจและการป้องกันเรื่องเพศในสังคมไทย
อย่างไรก็ดี หากจะมุ่งแก้ปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน จุดเริ่มต้นสำคัญนอกจากครอบครัว ก็คือ ‘โรงเรียน’ เนื่องจากเป็นหนึ่งในสถาบันที่ช่วยขัดเกลาและให้ความรู้เรื่องเพศในช่วงวัยรุ่นและเยาวชน แต่คำถามที่สำคัญคือ
ระบบการศึกษาของไทยตอบโจทย์นี้ได้เพียงพอแล้วหรือยัง? และการสอนเพศศึกษาในห้องเรียนตอนนี้ กำลังเดินไปข้างหน้า หรือยังย่ำอยู่ที่เดิม?
โดยบทความนี้จะพาไปสำรวจความท้าทายของระบบการสอนเพศศึกษาไทย ผ่านการพิจารณาจากหลักสูตรที่ใช้ในปัจจุบันร่วมกับเสียงสะท้อนจากครูผู้สอน นักเรียนในห้องเรียนจริง ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญจากภาคประชาสังคมที่ทำงานเรื่องสุขภาวะทางเพศของเยาวชน
[หลักสูตรและความท้าท้ายเกี่ยวกับการสอนเรื่องเพศวิถีศึกษาในมุมมองครู]
หากกล่าวถึงหลักสูตร ปัจจุบันประเทศไทยมีการบรรจุการเรียนการสอนเรื่อง ‘เพศศึกษา’ ไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ภายใต้กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเนื้อหาการเรียนการสอนเรื่องเนื้อหาไม่ได้ถูกแยกออกมาเป็นรายวิชาเฉพาะ แต่กระจายอยู่ในกลุ่มสาระสุขศึกษาและพลศึกษา เน้นครอบคลุมหัวข้อเกี่ยวกับสุขภาวะทางเพศ อาทิ พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจความสัมพันธ์ในครอบครัวและสังคม การดูแลสุขอนามัยทางเพศ การป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ การเรียนรู้เกี่ยวกับเพศวิถีความหลากหลายทางเพศและบทบาททางเพศในสังคม
อย่างไรก็ดี คุณครูสุขศึกษา โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ให้ความเห็นว่า แม้จะมีความพยายามในการพัฒนาการสอนเพศศึกษาให้เข้ากับปัจจุบัน ทั้งจัดกิจกรรมเพื่อเพิ่มความหลากหลายทางเพศ แต่การสอนเรื่องเพศวิถีศึกษาในโรงเรียนยังคงมีปัญหาและความท้าทาย
“การสอนเรื่องเพศศึกษาบางครั้งต้องใช้การสาธิต เช่น วิธีใส่ถุงยาง แต่การของบประมาณมาเพื่อซื้ออุปกรณ์ อย่างอวัยวะเพศปลอม ในมุมมองผู้บริหารยังมองว่าเป็นสิ่งที่อนาจาร”
พร้อมอธิบายว่า “พื้นฐานของครูสุขศึกษาส่วนใหญ่เข้าใจหมด แต่ปัญหาคือโรงเรียนจะ ‘สนับสนุน’ หรือเปล่า”
เนื่องจากครูผู้สอนส่วนใหญ่ได้รับการอบรมมาตั้งแต่ระดับมหาวิทยาลัย ทั้งในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย การป้องกันโรค การสาธิตการใช้ถุงยาง ไปจนถึงวิธีการทำคลอด แต่ทัศนคติและความเข้าใจเรื่องเพศในโรงเรียนบางเรื่องยังถูกจำกัดและมองว่าเป็นสิ่งไม่ดี
นอกจากนี้ นักเรียนของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งให้ความเห็นว่า
ได้มีการเรียนเกี่ยวกับการป้องกันเมื่อมีเพศสัมพันธ์ การเรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายในแต่ละช่วงวัย แต่ยังต้องการเรียนรู้เนื้อหาเกี่ยวกับความรับผิดชอบหลังจากมีการพลาดตั้งครรภ์และเข้าใจว่าการมีเพศสัมพันธ์ตอนนี้ยังเป็นสิ่งที่ไม่ควร
ด้วยเหตุนี้มุมมองและความเข้าใจเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จึงยังถูกจำกัดอยู่ที่ทัศนคติเรื่องเพศยังคงเป็นสิ่งไม่ดี การทำความเข้าใจหรือเรียนรู้เรื่องเพศในปัจจุบันจึงยังคงมีความท้าทาย
[ความท้าทายในการสอนเรื่องเพศวิถีศึกษาในมุมมองภาคประชาสังคม]
ขณะที่คุณภาวนา เหวียนระวี ประธานมูลนิธิแพธทูเฮลท์ (Path2health foundation) องค์กรที่ทำงานด้านสุขภาพในประเด็นต่าง ๆ รวมถึงเรื่องเพศศึกษาและทักษะชีวิตวัยรุ่น ให้ความเห็นถึงความท้าท้ายเกี่ยวกับการสอนเรื่องเพศในโรงเรียนไว้ดังนี้
[ความท้าทายในหลักสูตรและการวัดผลผ่านการสอบ]
การเรียนการสอนเพศวิถีศึกษาในโรงเรียนไทยส่วนใหญ่มักถูกบรรจุไว้ในวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา ซึ่งมีเนื้อหาและเวลาจำกัด การสอนจึงมักเน้นไปที่เรื่องพัฒนาการทางร่างกาย สรีรวิทยา และผลกระทบด้านลบของเพศสัมพันธ์ เช่น การป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
อีกทั้งการศึกษาไทยมักเน้นการสอนแบบบรรยายและท่องจำ มีคุณครูเป็นผู้พูด ขณะที่นักเรียนเป็นผู้ฟัง และมีการวัดผลผ่านการสอบมากกว่าการส่งเสริมทักษะชีวิต
ซึ่งแนวทางการสอนเช่นนี้ คุณภาวนามองว่า ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้เรื่องเพศวิถีศึกษา ที่ต้องอาศัยการพูดคุย การถกเถียง และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทำให้คำถามเกี่ยวกับเรื่องเพศเริ่มหายไปจากการเรียนการสอนอย่างคำถาม เช่น
‘หนูมีสิทธิ์ใช้ถุงยางอนามัยไหม ถ้าหนูพร้อมจะมีเพศสัมพันธ์ หนูตัดสินใจเองได้หรือเปล่า หรือต้องมีใครมากำหนด’
[ความท้าทายเรื่องการเรียนรู้เรื่องเพศผ่านเพื่อนและสื่อ]
นอกจากนี้ยังมีเยาวชนจำนวนหนึ่งไม่ได้เรียนรู้เรื่องเพศในโรงเรียน แต่ไปเรียนรู้กันเองจากเพื่อนหรือจากสื่อ ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกบ้างผิดบ้าง และเมื่อถึงเวลาต้องใช้ทักษะจริง เช่น
‘การต่อรองเพื่อจะมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย หรือแม้แต่การไปซื้อถุงยางอนามัยก็กลายเป็นเรื่องน่าอาย ทั้งที่มันคือเรื่องของสุขภาวะ’
สิ่งเหล่านี้นี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ประเทศไทยจะมีความพยายามบรรจุเรื่องเพศศึกษาไว้ในหลักสูตร และปรับเนื้อหาให้ทันสมัยมากขึ้น แต่การนำไปใช้จริงในห้องเรียนยังเต็มไปด้วยข้อจำกัด ทั้งในด้านเวลา งบประมาณ และทัศนคติของสังคมในขณะที่เยาวชนยังคงต้องการพื้นที่ในการเรียนรู้เรื่องเพศอย่างปลอดภัยและจริงจัง
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้น แม้การศึกษาในโรงเรียนจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเรื่องเพศอย่างรอบด้าน
แต่การจะทำให้การสอนเพศวิถีศึกษาเป็นสิ่งที่สามารถนำมาปรับรับกับสถานการณ์ปัจจุบันจริง จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ครู ผู้ปกครอง นโยบายรัฐ ไปจนถึงสังคมโดยรวมด้วย