‘โรม’ แนะรัฐเร่งคุยกัมพูชาแก้ปัญหาแนวชายแดน–คอลเซ็นเตอร์
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 17 ก.ค. ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ให้สัมภาษณ์กรณี ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ปัจจุบัน กมธ.ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเด็นคลิปเสียงสนทนาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เราก็ยังไม่ยอมแพ้ และคงต้องหารือใน กมธ. อีกครั้งว่าจะมีแนวทางอย่างไร ตนเชื่อว่าประเด็นคลิปเสียงเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่เราต้องได้รับความชัดเจน ซึ่งเรื่องใหญ่ขนาดนี้รัฐบาลยังไม่ให้ความร่วมมือ และเรื่องอื่น ๆ จะหวังพึ่งความร่วมมือจากรัฐบาลได้อย่างไร ยืนยันว่าปัจจุบัน กมธ. ยังไม่ได้รับความคลี่คลายเรื่องดังกล่าวเลย
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นแนวทางการแก้ปัญหา ปัจจุบันปัญหามีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งด้านชายแดนที่จะนำไปสู่ข้อยุติความขัดแย้งของทั้ง 2 ประเทศ ให้กลับไปสู่สถานะเดิมที่ทั้งสองฝ่ายพึงมีต่อกัน ปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องที่ง่ายแล้ว ทั้ง ด้านชายแดนค้าขาย เข้า-ออก ปัจจุบันยังไม่เห็นความชัดเจนว่าจะมีแนวทางอย่างไร ดังนั้นโทษรัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้ เพราะกัมพูชามีประเด็นปัญหาเช่นเดียวกัน ฉะนั้นตนขอแนะนำไปยังรัฐบาลเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย คือ การยกระดับมาตรการสำคัญ อย่างการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพราะหากปัญหาดังกล่าวจบลง ตนเชื่อว่าทุกฝ่ายจะพูดคุยถึงการค้าขายมากขึ้น ซึ่งมีความจำเป็นที่ทั้ง 2 ประเทศต้องพูดคุยกัน และประเทศไทยต้องพูดคุยกับนานาชาติให้มากขึ้น เพื่อให้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีผลความก้าวหน้า และรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้กัมพูชามาพูดคุยกับไทยได้ปกติ แต่อยู่ที่รัฐบาลจะจริงจังแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวได้มากน้อยแค่ไหน
เมื่อถามว่า พล.อ.สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาประกาศว่าจะกวาดล้างคอลเซ็นเตอร์ ประเทศไทยสามารถช่วยเหลือได้อย่างไรบ้าง นายรังสิมันต์ กล่าวว่า หากกัมพูชาต้องการปราบปราม ประเทศไทยต้องรีบเชิญ เพื่อให้เกิดการปราบปรามอย่างจริงจัง ปัจจุบันเรารู้พิกัดทั้งหมดแล้ว ดังนั้นต้องรอดูว่ามีการปราบปรามหรือไม่ และไทยต้องมีมาตรการออกหมายจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่างๆ เพิ่มเติม ต้องดูว่ากัมพูชาจะส่งตัวให้กับไทยหรือไม่ เพราะกระบวนการเหล่านี้สามารถดำเนินการได้ และอาจต้องมีปฏิบัติการร่วมโดยมีกัมพูชาเป็นหัวหอก หากกัมพูชาจริงใจ เชื่อว่ากระบวนการต่างๆ จะเกิดขึ้น
เมื่อถามว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ จะเรียกทูตกัมพูชากลับมา ขั้นตอนการลดความสัมพันธ์จะทำให้เหตุการณ์บานปลายหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า หากสถานการณ์ไม่ไต่ระดับให้สถานการณ์สูงขึ้น ทำไมต้องเป็นเวลาดังกล่าว และทำไมไม่เรียกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีการพิจารณา และหากอนาคตไม่มีทูตแล้ว เราจะเจรจากันอย่างไร ซึ่งรัฐบาลต้องมีแผนรับรอง ทั้งนี้ ตนมองว่ารัฐบาลมีการแสดงออกที่ช้า ดังนั้นต้องยอมรับว่ามันช้าจริงๆ ฉะนั้น วันนี้รัฐบาลต้องชัดเจนว่าต้องการอะไร หากไม่รู้ตัวเอง ตนว่าจะมีปัญหาในการแก้วิกฤติ
เมื่อถามว่าเป็นเพราะกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า มีส่วนหนึ่ง เพราะการที่นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ หลายคนมองว่ามีความเป็นไปได้ที่นายกรัฐมนตรีจะต้องหลุดออกจากตำแหน่งนายกฯ ดังนั้น ทำให้การเมืองขาดเสถียรภาพ ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่ากรณีที่ น.ส.แพทองธาร ไม่ตอบคำถามประเด็นคลิปเสียง และปราศจากคำขอโทษที่จริงใจต่อประชาชน และวิธีการอื่น ๆ ที่ผิดพลาดมาโดยตลอด มันทำให้วิกฤติขยายใหญ่โตและสุดท้ายประชาชนจะสับสนว่าเรากับกัมพูชาทะเลาะกันเรื่องอะไร นอกจากนี้ ตนขอยกตัวอย่างการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ว่า ปัจจุบันรัฐบาลไม่เอาจริงเอาจังในการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพราะหากเขาต้องการไปทำงานที่กัมพูชา เขาสามารถนั่งเครื่องบินไปลงที่พนมเปญ และนั่งรถกลับมา ซึ่งรัฐบาลโฟกัสที่แนวชายแดนอย่างเดียว ตนมองว่าไม่ใช่ทางออกทั้งหมด
เมื่อถามต่อถึงประเด็น ปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ในฐานะประธาน กมธ.ความมั่นคงฯ มองว่าควรทำรั้วกันชายแดนให้กลับไปเหมือนปี 54 หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนมองว่าไม่มีความจำเป็นในการเพิ่มเชื้อไฟ เพราะหากทำรั้ว กัมพูชาจะใช้ตรงนี้ทำให้เกิดการปะทะ หากปะทะกัน จะมีโอกาสที่กัมพูชาใช้เป็นข้ออ้างนำขึ้นไปสู่ศาลโลก ซึ่งไทยเราไม่อยากไป จึงไม่มีความจำเป็นต้องเติมเชื้อไฟ
เมื่อถามต่อว่ากรณีที่เกิดข้อพิพาทมีกระแสว่าเป็นทหารกัมพูชาที่สร้างภาพ และขึ้นมาปราสาทเพื่อมาปลุกปั่นการวิวาท นายรังสิมันต์ กล่าวว่า หากเราต้องการให้กัมพูชาพาเราไปศาลโลก ก็ทำรั้ว แต่หากต้องการให้สถานการณ์ชายแดนกลับมาสู่สภาวะปกติ เราต้องประชาสัมพันธ์ให้นานาประเทศเห็นว่ากัมพูชานั้นยั่วยุ และทำให้เห็นว่า กัมพูชาเป็นแลนด์มาร์คของแก๊งสแกมเมอร์ ดังนั้นไม่ควรทำให้เกิดการปะทะกัน ทั้งนี้ หากเกิดการปะทะ กัมพูชาไม่แคร์ชีวิตทหาร และชีวิตประชาชนจะเป็นอย่างไร แต่ชัยชนะของเค้าคือ นำไทยไปสู่ศาลโลก
เมื่อถามย้ำว่าล่าสุดทหารไทยเหยียบกับระเบิดชายแดนไทย-กัมพูชา นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะคนในครอบครัวก็ได้รับผลกระทบ ตนไม่อยากให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้และไม่ต้องการให้ใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว ฉะนั้นต้องติดตามต่อไปว่าการเหยียบกับระเบิดรายละเอียดนั้นเป็นอย่างไร ยืนยันว่าจะติดตามอย่างใกล้ชิดและไม่อยากเห็นการสูญเสียใด ๆ เกิดขึ้นและจะต้องหารือกับกองทัพอย่างใกล้ชิดต่อไป