กต.อวยMOU43กอดแผนที่1:2แสน
อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ อวยข้อดี MOU 43 ละเอียดยิบ กำหนดห้ามเปลี่ยนแปลงพื้นที่ ไทย-กัมพูชา ต้องร่วมมือกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่เพื่อจัดสำรวจ-ทำแผนที่ใหม่ และไม่ดึงประเทศที่ 3 มาแก้ปัญหา 2 ประเทศ เตือนยกเลิก MOU ระวังหนีแผนที่ 1:200,000 ไม่พ้น วิปรัฐบาลยันยินดีหากฝ่ายค้านยื่นญัตติ MOU 43-44
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงทำความเข้าใจต่อบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกปี 2543 หรือ MOU 2543 หรือ MOU 43
โดยนายเบญจมินทร์กล่าวว่า มั่นใจว่าประเทศไทยได้เปรียบจาก MOU 43 เนื่องจาก MOU 43 เป็นการกำหนดกรอบความตกลงและกลไกการปักปันเขตแดน เพื่อร่วมกันสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน เพื่อให้ได้แผนที่ที่นำมาใช้ได้จริง โดยใช้หนังสือสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ 1907 เป็นเอกสารประกอบ เนื่องจากหนังสือสัญญาดังกล่าวได้พูดถึงคณะกรรมการปักปันเขตแดน เพื่อให้ไปทำแผนที่ตามหลักสันปันน้ำ แม่น้ำและแนวเส้นตรง รวมถึงยังมีเอกสารอื่นๆ เช่น แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดน และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และ 1907 ระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส จึงเป็นที่มาของ MOU 43 และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ไทย-กัมพูชา
อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ยังอธิบายหน้าที่ของคณะกรรมาธิการ JBC ไทย-กัมพูชา ว่ามีหน้าที่สำรวจจัดทำหลักเขตแดน ทำแผนแม่บทกำหนดอำนาจหน้าที่ กำหนดความเร่งด่วนของพื้นที่ มอบหมายและกำกับของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิค หรือ JTSC ผู้ที่ลงพื้นที่เพื่อสำรวจเขตแดน และพิสูจน์ตำแหน่งที่แน่ชัดของหลักเขตแดนทั้ง 74 หลักเพื่อจัดทำแผนที่ รวมถึงการพิจารณารายงาน และข้อเสนอของคณะกรรมาธิการเทคนิค และที่สำคัญคือการผลิตแผนที่ที่ไทย-กัมพูชา สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้จริง ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน
“ใน MOU 43 กำหนดให้ทั้งไทยและกัมพูชาจะต้องงดเว้นการดำเนินการใดๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อการสำรวจเขตแดน เช่น การไม่ขุดคูเลต หรือการไม่ควรมีทหาร เป็นต้น และหากเกิดปัญหาการตีความการบังคับใช้ MOU ต่อพื้นที่ ทั้งสองฝ่ายก็จะต้องมาเจรจากันตามที่ MOU กำหนดไว้ โดยไม่ได้มีการให้บุคคลที่ 3 หน่วยงานที่ 3 หรือหลีกเลี่ยงไปหากลไกอื่นมาร่วมแก้ปัญหา เพราะตาม MOU 43 กำหนดว่า เรื่องปัญหาพื้นที่ให้เป็นเรื่องระหว่าง 2 ประเทศไทย-กัมพูชา และที่สำคัญ MOU 43 ยังกำหนดให้ทั้งไทย-กัมพูชาจะต้องร่วมกันในการกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ เพื่อให้อนุกรรมาธิการ JTSC สามารถลงพื้นที่สำรวจเขตแดนในการจัดทำแผนที่ใหม่ได้อย่างปลอดภัยด้วย”
อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ย้ำว่า ถ้าจะยกเลิก MOU 43 ก็ไม่สามารถหนีข้อเท็จจริงตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ 1907 ได้ เพราะถือเป็นแม่บทกำหนดรายละเอียดไว้ และไม่สามารถหนีแผนที่ 1:200,000 ได้ และถ้าจะยกเลิกไปก็ต้องกลับไปใช้เอกสารทั้งหมด ซึ่งถูกรวบรวมไว้ใน MOU 43 หรือเป็นการกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ตามกลไกที่มีอยู่ รวมถึง MOU 43 ยังเป็นตัวกำหนดกฎเกณฑ์การไม่เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นกฎสำคัญให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตาม เพราะปัจจุบันก็เห็นชัดเจนว่าฝ่ายใดเป็นผู้ผิดกฎเกณฑ์ และการสำรวจจัดทำเขตแดน ชุดสำรวจจะต้องได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล จึงเป็นหน้าที่ของทั้ง 2 ฝ่ายในการเก็บกู้ และมีการตกลงร่วมใจกันแล้วในการใช้กลไก MOU 43 ร่วมกัน โดยไม่อ้างถึงบุคคลที่ 3
นายเบญจมินทร์ยังเปิดเผยถึงความคืบหน้าหลังการประชุม JBC ไทย-กัมพูชา เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า ได้มีการอนุมัติการทำหน้าที่ของ JTSC แล้ว เพื่อลงพื้นที่สำรวจเขตแดนจำนวน 29 หลัก จาก 74 หลัก ที่ยังไม่สามารถตกลงร่วมกันได้ว่า การอนุมัติการทำหน้าที่และการลงพื้นที่สำรวจเขตแดนดังกล่าว ได้พิสูจน์แล้วว่ากลไกคณะกรรมาธิการร่วม JBC ไทย-กัมพูชา ตาม MOU 43 สามารถใช้งานได้ และเริ่มดำเนินการไปแล้วในการสำรวจการปักปันเขตแดน และกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการอยู่ด้วย
ที่รัฐสภา นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล กล่าวถึงการประชุมในวันพฤหัสบดีที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่เป็นประธาน ได้มีการปิดการประชุมไปก่อนที่ฝ่ายค้านเตรียมเสนอญัตติด่วน เพื่อขอให้สภาพิจารณาบันทึกความเข้าใจ MOU 43-44 ที่นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย เป็นผู้เสนอ ว่าจริงๆ แล้วเราต้องบอกว่าการเสนอทำได้ แต่เวลาที่มาเจรจานั้นต้องตกลงกันทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งวิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้าน
“วันพรุ่งนี้ (26 ส.ค.) มาบอกได้เลย ถ้าคุณอยากจะเสนอญัตตินี้ก็เข้ามา ยินดีไม่มีปัญหา พวกผมเตรียมพร้อมอยู่แล้ว เพราะก็เป็นโอกาสดีที่จะได้ชี้แจง และมีฝ่ายความมั่นคงเข้ามาชี้แจง จะได้ทราบ ได้เตรียมการอธิปราย ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร” ประธานวิปรัฐบาลกล่าว
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่ขณะนี้มีการพูดถึงการยกเลิกเอ็มโอยู 2543-2544 ว่า ในปัจจุบันเรื่องที่กัมพูชาลอบวางทุ่นระเบิดในประเทศไทยและเรื่องรั้วลวดหนามเป็นประโยชน์กับประเทศ อยากให้โฟกัส 2 เรื่องนี้ก่อน ไม่อยากให้แตกไปหลายประเด็น
ที่อาคารรัฐสภา นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ, นายเศรณี อนิลบล และนาวาตรี วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ สมาชิกวุฒิสภา ร่วมกันแถลงข่าวไม่เห็นด้วยกรณีที่จะมีการพิจารณาญัตติขอให้วุฒิสภาตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 เพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุควรเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องศึกษาถึงผลกระทบจากการยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ อีกทั้งคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา สามารถพิจารณาเรื่องดังกล่าวได้.