โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

โมดีชูสัมพันธ์อินเดีย-จีนแนบแน่น คาดเดาได้ หลังจีนเปิดทางซื้อแร่หายาก

Amarin TV

เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา
โมดีชูสัมพันธ์อินเดีย-จีนแนบแน่น คาดเดาได้ หลังปักกิ่งเปิดทางซื้อแร่หายาก

อินเดียกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญทางการทูต เมื่อจีนและสหรัฐฯ ใช้ท่าทีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงต่อบทบาทของอินเดียในเวทีโลก สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เลือกเส้นทางแข็งกร้าว เดินหน้าขึ้นภาษีการค้านำเข้า และโจมตีการซื้อน้ำมันรัสเซียของอินเดียอย่างเปิดเผย ในทางตรงกันข้าม จีนกลับส่งสัญญาณสร้างสรรค์ เปิดประตูความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ ดันให้ความสัมพันธ์อินเดีย-จีน แนบแน่นขึ้น

หลังได้พบกับหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนที่กรุงนิวเดลีเมื่อวันอังคารที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาตั้งตารอการเยือนจีนปลายเดือนสิงหาคม เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่เมืองเทียนจิน การเดินทางครั้งนี้ถือเป็นการเยือนจีนครั้งแรกในรอบเจ็ดปีของผู้นำอินเดีย และมีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเกิดขึ้นเพียงหนึ่งปีหลังจากที่โมดีพบประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เมืองคาซาน ระหว่างการประชุม BRICS ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเริ่มต้นของบทสนทนาเชิงบวกครั้งใหม่

“ความสัมพันธ์อินเดีย-จีนก้าวหน้าอย่างมั่นคงโดยยึดหลักการเคารพผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน” โมดีกล่าวบนแพลตฟอร์ม X “ความสัมพันธ์ที่มั่นคง คาดการณ์ได้ และสร้างสรรค์ระหว่างอินเดียกับจีน จะช่วยส่งเสริมสันติภาพและความรุ่งเรืองทั้งในภูมิภาคและระดับโลกอย่างมีนัยสำคัญ”

อย่างไรก็ตาม ความหวังของอินเดียในการฟื้นสัมพันธ์กับจีนเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับแรงบีบมหาศาลจากสหรัฐฯ การขึ้นภาษีนำเข้ารวม 50% และคำกล่าวหาจากรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ว่าอินเดีย “หากำไร” จากการซื้อน้ำมันรัสเซีย กำลังทดสอบความสามารถของอินเดียในการสร้างสมดุลใหม่ระหว่างการรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับพันธมิตร และการรักษาบทบาทในสมการภูมิรัฐศาสตร์โลก

จีนส่งสัญญาณบวก ปุ๋ย แร่หายาก และความร่วมมือใหม่

เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน เดินทางเยือนกรุงนิวเดลีเป็นครั้งแรกในรอบสามปี ท่ามกลางความพยายามของทั้งสองฝ่ายในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดจากปัญหาพรมแดนในช่วงที่ผ่านมา

วาระสำคัญของการเยือนครั้งนี้คือการหารือกับอาจิต โดวาล ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติอินเดีย และเอส. ไจศังการ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ โดยแหล่งข่าวในกรุงนิวเดลีเปิดเผยกับ Nikkei Asia ว่า หวังได้ยืนยันว่าจีนกำลังตอบสนองต่อความต้องการของอินเดียในด้านปุ๋ย แร่หายาก และเครื่องเจาะอุโมงค์

ทรัพยากรเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญทั้งต่อภาคเกษตรกรรมและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของอินเดีย โดยเฉพาะในโครงการขุดอุโมงค์และเหมืองแร่ ซึ่งที่ผ่านมาอินเดียประสบข้อจำกัดจากมาตรการควบคุมการส่งออกของจีน ทำให้การยืนยันครั้งนี้มีนัยสำคัญต่อทิศทางความร่วมมือระหว่างสองประเทศ

นอกจากนี้ การเยือนครั้งนี้ยังมีนัยทางการเมืองที่ลึกซึ้ง เนื่องจากเกิดขึ้นก่อนการเดินทางของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ไปยังจีนเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ปลายเดือนนี้ อีกทั้งยังตรงกับช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ กำลังเผชิญความตึงเครียดขั้นรุนแรง ภายหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าส่งออกจากอินเดียรวม 50% โดยเริ่มเก็บ 25% ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม และจะเพิ่มอีก 25% ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคมสำหรับการนำเข้าน้ำมันรัสเซีย ความเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นการกดดันอินเดียให้ลดการพึ่งพารัสเซีย แต่กลับกลายเป็นปัจจัยผลักดันให้อินเดียเร่งกระชับความสัมพันธ์กับจีนและประเทศสมาชิก BRICS อื่น ๆ

ในระหว่างการหารือกับไจศังการ์และโดวาล ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยในหลายประเด็นที่สะท้อนถึงความพยายามสร้างบรรยากาศความสัมพันธ์ใหม่ ได้แก่ การฟื้นฟูการค้าและการลงทุนทวิภาคี การรื้อฟื้นเที่ยวบินตรงที่ถูกระงับในช่วงโควิด-19 และการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าเพื่อกระตุ้นการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน ล่าสุดอินเดียได้กลับมาออกวีซ่าท่องเที่ยวให้กับชาวจีน หลังจากระงับไปกว่าสามปี ถือเป็นสัญญาณบวกที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีการหารือถึงการแบ่งปันข้อมูลแม่น้ำข้ามพรมแดน ซึ่งเป็นประเด็นที่อินเดียให้ความสำคัญต่อการจัดการทรัพยากรน้ำ รวมถึงการค้าชายแดนในพื้นที่หิมาลัยซึ่งเคยถูกจำกัดจากความขัดแย้ง

ในช่วงเย็นวันเดียวกัน หวัง อี้ ยังได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีโมดีโดยตรง หลังการพบ โมดีได้โพสต์ข้อความบน X ว่าความสัมพันธ์อินเดีย–จีนมี “ความก้าวหน้าอย่างมั่นคง ภายใต้กรอบการเคารพซึ่งกันและกันและคำนึงถึงความอ่อนไหวของอีกฝ่าย” เขายังย้อนกล่าวถึงการพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่เมืองคาซาน เมื่อเดือนตุลาคมปีก่อน ระหว่างการประชุมสุดยอด BRICS ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาพูดคุยเชิงบวก พร้อมทั้งเสริมว่า “ผมเฝ้ารอการพบปะครั้งต่อไปที่เมืองเทียนจิน ระหว่างการประชุมสุดยอด SCO”

โมดีเน้นย้ำว่าความสัมพันธ์ที่ “มั่นคง คาดการณ์ได้ และสร้างสรรค์” จะมีบทบาทสำคัญต่อสันติภาพและความมั่งคั่งทั้งในระดับภูมิภาคและโลก สำนักนายกรัฐมนตรีอินเดียยังเปิดเผยว่า โมดีได้ย้ำกับหวังถึงความสำคัญของการรักษาสันติภาพและความสงบตามแนวพรมแดน พร้อมยืนยันความมุ่งมั่นของอินเดียที่จะหาทางออก “อย่างเป็นธรรม มีเหตุผล และเป็นที่ยอมรับร่วมกัน”

ในช่วงที่ผ่านมาแม้สัญญาณเชิงบวกเริ่มปรากฏชัด แต่ปัญหาพรมแดนยังคงเป็นประเด็นหลักที่กำหนดทิศทางความสัมพันธ์ โดยอินเดียและจีนมีเส้นเขตแดนยาวเกือบ 3,500 กิโลเมตร หรือที่เรียกว่า “เส้นควบคุมความจริง” (LAC) ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มีการปักปันที่ชัดเจนและเป็นต้นเหตุของข้อพิพาทยาวนาน ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศพุ่งสูงสุดในปี 2020 ที่หุบเขากัลวาน เขตลาดักตะวันออก เมื่อทหารทั้งสองฝ่ายปะทะกันด้วยมือเปล่าและอาวุธประจำกายเบื้องต้น ส่งผลให้ทหารอินเดียเสียชีวิต 20 นาย และทหารจีนเสียชีวิต 4 นาย เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ความสัมพันธ์ตกต่ำถึงขีดสุด

อย่างไรก็ตาม หลังจากทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงเมื่อเดือนตุลาคมปีก่อนเกี่ยวกับการจัดระเบียบการลาดตระเวนตามแนวพรมแดนหิมาลัย สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง โดวาลกล่าวระหว่างการหารือว่า เขารู้สึกยินดีที่เห็นความสัมพันธ์ทวิภาคีมี “แนวโน้มที่ดีขึ้น เขตแดนสงบเงียบ และการมีปฏิสัมพันธ์ทวิภาคีมีสาระสำคัญมากขึ้น”

ด้านไจศังการ์ก็โพสต์บน X ว่าความสัมพันธ์อินเดีย-จีน “ควรตั้งอยู่บนหลักการสาม Mutuals” ได้แก่ mutual respect, mutual sensitivity และ mutual interest พร้อมย้ำว่าหากทั้งสองฝ่ายต้องการก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบาก จำเป็นต้องมีท่าทีที่ “เปิดเผยและสร้างสรรค์” เขายังแสดงความมั่นใจว่าการหารือครั้งนี้จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงและมุ่งสู่อนาคต

ในอีกมุมหนึ่ง สื่อทางการจีน ซินหัว รายงานคำกล่าวของหวัง อี้ ที่วิพากษ์การเมืองโลกว่า “ในโลกปัจจุบัน สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การใช้อำนาจฝ่ายเดียวและการกลั่นแกล้งยังคงแพร่หลาย ขณะที่การค้าเสรีและระเบียบระหว่างประเทศกำลังเผชิญความท้าทายรุนแรง” ซึ่งถูกมองว่าเป็นการพาดพิงไปยังสหรัฐฯ ที่เพิ่งออกมาตรการภาษีใหม่ต่ออินเดียและกดดันในประเด็นน้ำมันรัสเซีย

สหรัฐฯ ใช้มาตรการแข็ง ภาษี น้ำมัน และเป้าอัมบานี

ในอีกด้านหนึ่ง อินเดียกำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักจากสหรัฐฯ หลังวอชิงตันประกาศมาตรการภาษีตอบโต้รวม 50% ต่อการซื้อน้ำมันรัสเซีย โดยรอบแรก 25% มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม และอีก 25% จะตามมาในวันที่ 27 สิงหาคมนี้

ตลอดช่วงที่ผ่านมา สก็อต เบสเซนท์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้ยกระดับการวิพากษ์วิจารณ์ต่ออินเดีย โดยกล่าวหาว่า “หากำไร” จากการซื้อน้ำมันรัสเซีย พร้อมเปิดเผยว่าสหรัฐฯ กำลังพิจารณามาตรการภาษีทุติยภูมิเพิ่มเติม เขาระบุว่า “พวกเขาขายต่อ ได้กำไรส่วนเกินถึง 16,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งตกอยู่กับครอบครัวร่ำรวยที่สุดบางตระกูลในอินเดีย”

ถ้อยแถลงดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการพาดพิงโดยตรงถึงมูเกช อัมบานี มหาเศรษฐีที่มั่งคั่งที่สุดของเอเชียและประธาน Reliance Industries Ltd. ซึ่งเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกทางฝั่งตะวันตกของอินเดีย Reliance มีสัญญาระยะยาวในการซื้อน้ำมันรัสเซีย และถูกมองว่าได้รับผลประโยชน์สูงจากส่วนต่างราคา หุ้นบริษัทปรับตัวลงมากถึง 0.7% ในการซื้อขายเช้าวันพุธ ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาเกือบทรงตัว โดย Reliance ยังคงเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในอินเดียและเป็นหนึ่งในหุ้นหลักของดัชนี Nifty 50

เบสเซนท์ยังชี้แจงการที่สหรัฐฯ เลือกไม่ใช้มาตรการภาษีทุติยภูมิต่อจีน แม้จีนจะซื้อน้ำมันจากรัสเซียมากกว่า โดยให้เหตุผลว่า อินเดียเพิ่งเพิ่มการนำเข้าอย่างรวดเร็วหลังการรุกรานยูเครนของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ในปี 2022 ขณะที่จีนเพิ่มการนำเข้าจากรัสเซียเพียงเล็กน้อย จาก 13% ของการนำเข้าก่อนปี 2022 มาอยู่ที่ 16% หลังสงคราม ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายของแหล่งพลังงานของจีนมากกว่าของอินเดีย

เมื่อเจอข้อกล่าวหาดังกล่าว รัฐบาลอินเดียได้ออกมาตอบโต้ทันที โดยยืนยันสิทธิในการเลือกซื้อน้ำมันจากแหล่งที่ราคาถูกที่สุด และระบุว่าการขู่ขึ้นภาษีของสหรัฐฯ “ไม่สมเหตุสมผล” ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี เพิ่งพูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีปูตินเมื่อวันจันทร์ และยังคงเรียกเขาว่า “มิตร” สะท้อนถึงความตั้งใจของนิวเดลีที่จะรักษาความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับรัสเซีย แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากชาติตะวันตกก็ตาม

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Amarin TV

จำคุก6เดือน "หมอชาตรี"ผ่าตัด"น้องนิ้ง"พริตตี้สาวนอนเป็นเจ้าหญิงนิทรา

50 นาทีที่แล้ว

รวบแล้ว! พ่อแม่ใจโหด เผาลูกทารกในเตาเผาถ่านของชาวบ้าน

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

"ซีเกมส์ 2025" ยืนยันตรวจเพศแน่นอน - กัมพูชาส่งนักกีฬา 600 คนร่วมศึก

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ เกิดจากอะไร บทเรียนสุขภาพจากข่าว "ปั๊บ โปเตโต้"

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

ปตท.ฝ่าปัจจัยท้าทายความผันผวน สร้างกำไรครึ่งปีแรก 4.48 หมื่นล้านบาท

The Better

รัสเซียคาด “รูเบิลดิจิทัล” หนุนเศรษฐกิจมอสโกว์ 3.2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี

Manager Online

ปตท.จ่อเคาะพันธมิตรร่วมทุน“ปิโตรเคมีและการกลั่น”ปลายปี68 ตั้งเป้าบริหารสินทรัพย์สร้างกระแสเงินสด 1แสนล้านใน2ปีนี้

Manager Online

SCBX จัดทัพผู้บริหารใหม่ ‘อารักษ์’ ว่าที่ซีอีโอ นั่ง CFO ควบรอง CEO

PostToday

SCBX Group Appoints New Executive to Drive Growth

AEC10NEWs

หุ้นใหญ่กอดคอพุ่ง! SET บวกฉ่ำ 12.37 จุด แตะระดับ 1,248.13 จุด

PostToday

บีโอไอ เปิดฉาก THECA 2025 ดันไทยผู้นำระบบนิเวศอิเล็กทรอนิกส์เอเชีย

Khaosod

NER คว้ารางวัล Silver จาก EcoVadis ยกระดับสู่ความยั่งยืน

หุ้นวิชั่น

ข่าวและบทความยอดนิยม

S&Pชี้ภาษีทรัมป์เร่งจีนผงาดผู้นำการค้าโลก หนุนจีนผูกมิตรปท.กำลังพัฒนา

Amarin TV

จีน-ไทย-กัมพูชาถก3ฝ่าย"มาริษ"ย้ำต้องเร่งเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน

Amarin TV

จีนลุยขุดแร่หายากเมียนมาส่งออกพุ่ง5เท่าใน3ปี กูรูชี้เป็นต้นตอพิษน้ำกก

Amarin TV
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...