'สแกนดิเนเวีย'นิยมทันตกรรมในไทย รุก'เมดิคัล&เวลเนสฮับ' 5 ด้าน
ประเทศไทยมีเป้าหมายในปี 2577 เป็น “ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ(Medical and Wellness Hub)”และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรของโลก รวมถึงมีการขยายตัวมูลค่าทางเศรษฐกิจสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน (GDP) โดยขับเคลื่อนจากการเป็นศูนย์กลาง(ฮับ) 5 ด้าน ใช้ 3 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ 1.การพัฒนาศักยภาพ 2.การสร้าง Ecosystem และ3.การตลาดและประชาสัมพันธ์
ตามแผนการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ด้วยกลไกคณะอนุกรรมการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ 6 คณะ ภายใต้คณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Wellness and Medical Service Hub) ประกอบด้วย
1.ศูนย์กลางบริการรักษาพยาบาล ( Medical Service Hub) ส่งเสริมธุรกิจบริการด้านบริการสุขภาพและเวชศาสตร์ความงาม,การปฏิสนธิภายนอกร่างกาย หรือการทำเด็กหลอดแก้ว(IVF), แปลงเพศ,ทันตกรรม และ Medical AI สำหรับชาวต่งชาติที่เข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทย
2. ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) ส่งเสริมและสร้างมูลค่าบริการการดูแลสุขภาพ การนวดไทย และบริการ Wellness
3.ศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ(Product Hub) สร้างคุณค่าในการบริการการดูแลสุขภาพ และบริการ Wellness และส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทย
4.ศูนย์กลางบริการวิชาการ (Academic Hub) ยกระดับวิชาชีพด้านการแพทย์และการส่งเสริมสุขภาพรองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, ส่งเสริมงานวิจัยสู่การแพทย์มูลค่าสูงและการสถาปนาสภาวิชาชีพด้ายความงามในประเทศไทย และการจัดตั้งสมาคมด้านวิชาการด้านผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (Thailand Society of Cell & Gene Therapy or ATMPs)
5.ศูนย์กลางการจัดประชุมและนิทรรศการด้านการแพทย์และสุขภาพ (Health Convention and Exhibition Hub) สร้าง Ecosystem ในการเข้าร่วมประชุมวิชาการในประเทศไทย เช่น การอำนวยความสะดวกแก่นักวิชาการต่างประเทศ ที่เข้าร่วมการประชุม และการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์
และ6.ขับเคลื่อนการอำนวย ความสะดวกในการประกอบธุรกิจบริการ ด้วยการปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ มาตรการ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ ผู้ประกอบการ ,จัดทำPlatformกลางของประเทศไทย E - Marketplace ด้าน Wellness & Medical
สแกนดิเนเวียนิยมทันตกรรมในไทย
นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ”ขยายในเรื่องส่งเสริมธุรกิจบริการรักษาพยาบาลด้านต่างๆว่า เรื่องเวชศาสตร์ความงาม อนุกรรมการ Medical Service Hub ได้เห็นความสำคัญของประเด็นข้อกังวลเกี่ยวกับการรับบริการเรื่องนี้ เช่น ให้บริการที่ไม่ใช่แพทย์ (หมอกระเป๋า) หรือเป็นแพทย์แต่ไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมจากหลักสูตรที่ได้มาตรฐาน จึงกำลังหาแนวทางแก้ไข เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค แต่ก็ตระหนักว่าการกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดเกินไปอาจจำกัดการเติบโตของธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม จะดำเนินการจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมที่คณะกรรมการสถานพยาบาลรับรอง เพื่อให้แพทย์และบุคลากรที่เกี่ยวข้องมีมาตรฐานในการให้บริการเสริมความงาม หลักสูตรนี้จะช่วยแก้ปัญหาแพทย์จบใหม่ที่ต้องเสียเงินเรียนกับแพทย์รุ่นพี่ในคลินิก หรือต้องบินไปเรียนต่างประเทศ
ส่วนบริการทันตกรรมในไทยมีจุดแข็งเรื่องของทันตแพทย์ที่มีศักยภาพ ทำให้สามารถให้บริการได้อย่างรวดเร็ว ราคาค่าบริการไม่แพงเมื่อเทียบกับต่างประเทศ นอกจากนี้ ปัจจัยเอื้ออื่นๆ เช่น มีแหล่งท่องเที่ยวที่ลูกค้าสามารถพักผ่อนหรือท่องเที่ยวระหว่างรอรับบริการได้ เพราะการทำฟันส่วนใหญ่ไม่ใช่ภาวะเจ็บป่วยรุนแรงที่ต้องพักฟื้นทันที
“ปัจจุบันกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย นิยมมาใช้บริการทันตกรรมในไทยมากโดยเฉพาะที่จ.ภูเก็ต เพราะค่าบริการถูกกว่า ไม่ต้องรอนาน และสามารถท่องเที่ยวได้ หากสามารถเจรจาเรื่องประกันกับต่างประเทศได้สำเร็จ จะช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มนี้ได้มากขึ้น ทันตกรรมถือเป็นอันดับหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากยุโรปและสแกนดิเนเวีย”นพ.ภานุวัฒน์กล่าว
ส่งเสริมการใช้ Medical AI
เรื่องของปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์ (Medical AI) ซึ่งปัจจุบันมีการใช้ AI ในวงการแพทย์อย่างหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่น ในกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์ได้พัฒนา AI เพื่อช่วยตรวจจอประสาทตา วินิจฉัยภาวะต่างๆ เช่น ต้อหิน นอกจากนี้ ยังใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล Big Data ในการพยากรณ์โรคระบาด หรือแนวโน้มปัญหาสุขภาพต่างๆ
การขับเคลื่อน Medical Hub ในเรื่อง AI เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงจะส่งเสริมทั้งการพัฒนา AI โดยคนไทยเอง และการนำเทคโนโลยีจากต่างประเทศเข้ามาใช้ โดยอนุกรรมการ Medical Service Hub จะเข้ามาดูแลในส่วนของการส่งเสริมบริการ AI การอำนวยความสะดวก และที่สำคัญคือการพิจารณาเรื่องจริยธรรม (Ethics) ในการใช้ AI ทางการแพทย์ จะเริ่มต้นจากการจัดเวทีวิชาการระดับนานาชาติ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องนี้
และบริการรักษาผู้มีบุตรยาก (IVF) กำลังอยู่ในกระบวนการปรับแก้พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ หรือพ.ร.บ.อุ้มบุญ เพื่อให้ชาวต่างชาติทั้งคู่ หรือคู่สมรสตามกฎหมายสมรสเท่าเทียมสามารถใช้บริการตั้งครรภ์แทนในประเทศไทยได้ โดยต้องมีการจดทะเบียนสมรสมาอย่างน้อย 3 ปี และกฎหมายของประเทศนั้นๆ ต้องคุ้มครองเด็กที่เกิดมา นอกจากนี้จะอนุญาตให้นำตัวอ่อน อสุจิ หรือไข่ที่เหลือกลับประเทศได้ภายใต้หลักเกณฑ์ของคณะกรรมการ
ในแง่ของกลุ่มผู้รับบริการนอกจากจีนแล้ว ยังมองตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของบริการทางการแพทย์ของไทยอยู่แล้ว แต่จำเป็นจะต้องศึกษากฎหมายของประเทศเหล่านี้ให้รอบคอบ
Wellness Valley ในพื้นที่มีศักยภาพ
สำหรับ “Wellness Valley” เป็นอีกหนึ่งนโยบายที่จะมีการส่งเสริม โดยจะไม่จำกัดอยู่แค่ใน EEC เท่านั้น แต่จะเน้นในเมืองท่องเที่ยวหลักและเมืองที่มีศักยภาพสูง เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา กรุงเทพฯ และหัวหิน เป้าหมาย คือ การส่งเสริมให้มีสถานประกอบการที่มีศักยภาพสูงจำนวนมาก เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว และอาจมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI หรือมาตรการทางกฎหมายอื่นๆ ส่วนหากอยู่ในพื้นที่ EEC อาจมีเงื่อนไขที่เอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น รวมถึงการอนุญาตให้แพทย์ต่างชาติเข้ามาทำวิจัยหรือให้บริการได้ในบางเรื่อง
Wellness Valley จะถูกนำไปใช้ในการประชาสัมพันธ์และสร้างภาพลักษณ์แพ็คเกจที่ชัดเจนสู่ต่างประเทศ เพื่อดึงดูดการลงทุนและประชาสัมพันธ์ให้ต่างชาติเห็นถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลาง Wellness และเลือกที่จะมารับบริการในไทย นอกจากนี้ การนวดไทยเป็นอีกหนึ่งบริการที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าจากตะวันออกกลาง ซึ่งภาครัฐมีแผนที่จะยกระดับผู้ให้บริการนวดเพื่อเพิ่มรายได้ โดยคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้ถึงแสนล้านบาท
“ช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นผลการขับเคลื่อนMedical and Wellness Hub ที่ชัดเจนมากขึ้น แต่ละประเด็นจะถูกขับเคลื่อนโดยคณะอนุกรรมการต่าง ๆ ในส่วนของตลาดใหม่ๆ อนุกรรมการอำนวยความสะดวก กำลังพิจารณาเจรจากับบริษัทประกันภาคเอกชนในประเทศต่างๆเพิ่มเติม และสธ.มีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่สำนักงานเศรษฐกิจสุขภาพ ดำเนินงานเรื่องนี้โดยตรง และความร่วมมือจากกระทรวงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติอย่างสมบูรณ์แบบ”นพ.ภานุวัฒน์กล่าว
แม้จะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นในภูมิภาคที่กำลังส่งเสริม Medical Tourism เช่นกัน แต่ไทยยังคงมีจุดแข็งด้านมนต์เสน่ห์ของแหล่งท่องเที่ยว และการบริการแบบไทยที่มีรอยยิ้มและความประทับใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถใช้ในการแข่งขัน