โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ล่าช้า-ไม่โปร่งใส-ไม่ยุติธรรม? สำรวจข้อสังเกตว่าด้วย ‘ศาลทหาร’ หลังบทลงโทษจำเลยคดี เมย-ภคพงศ์ ถูกสังคมมองว่า ‘ไม่ได้สัดส่วน’

The MATTER

อัพเดต 19 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 19 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Politics

ศาลทหาร ยุติธรรมจริงไหม และมีไปทำไม เพื่อความยุติธรรม หรือเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องทหารด้วยกันกันแน่?

ล่าสุด ศาลทหารสูงสุดมีคำพิพากษาคดีของ เมย – ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารที่เสียชีวิตจากการธำรงวินัยเมื่อปี 2560 โดยยืนตามศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ให้รับโทษ จำคุก 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท และรอลงอาญา 2 ปี โดยศาลเห็นว่าจำเลยไม่เคยต้องโทษและให้โอกาสปรับปรุงตัวเพื่อรับใช้ชาติต่อไป

คำตัดสินดังกล่าว ได้จุดชนวนให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันเป็นวงกว้างในสังคม โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าคำตัดสิน “ไม่มีความยุติธรรม” และมากไปกว่านั้น คือการตั้งคำถามกับการมีอยู่ของ ‘ศาลทหาร’ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่กระบวนการและคำตัดสินจากศาลทหารทำให้เกิดข้อสงสัยเช่นนี้ จนที่ผ่านมาก็มีความพยายามในการปฏิรูปศาลทหารอยู่เรื่อยๆ

แล้วศาลทหารมีไปทำไม หรือที่ผ่านมามีปัญหาอะไรบ้างกันแน่ The MATTER ชวนย้อนดูมิติต่างๆ ในปัญหาของ ‘ศาลทหาร’ ไปด้วยกัน

ที่มา ปัญหา และความไม่เชื่อถือของประชาชน

ศาลทหารไทย มีรากฐานยาวนานตั้งแต่ปี 2474 โดยมีพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 เป็นกฎหมายหลักและได้รับการรับรองในรัฐธรรมนูญปี 2560 และศาลทหารมีโครงสร้างสามชั้น คือ ศาลทหารชั้นต้น ศาลทหารกลาง และศาลทหารสูงสุด รวมถึงศาลในเวลาไม่ปกติที่มีอำนาจขยายขึ้นยามสงครามหรือกฎอัยการศึก

โดยศาลทหารมีอำนาจพิจารณาคดีอาญาเฉพาะบุคคลที่อยู่ในอำนาจของศาลทหาร (ณ เวลาที่กระทำความผิด) เช่น ทหาร นักเรียนทหาร หรือพลเรือนที่สังกัดทหาร และความผิดต่อกฎหมายทหาร หรือความผิดอาญาอื่นๆ ในช่วงประกาศกฎอัยการศึกหรือเวลาไม่ปกติ และอาจครอบคลุมถึงพลเรือนในบางกรณี แต่หากทหารกระทำผิดร่วมกับพลเรือน คดีเกี่ยวพันกับคดีศาลพลเรือน หรือผู้กระทำผิดเป็นเด็กและเยาวชน จะต้องขึ้นศาลพลเรือนแทน

งานวิจัยเรื่อง ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับตุลาการศาลทหาร โดย สุประวีณ เอกจิตต์ มหาวิทยาลัยรังสิต ในปี 2566 ได้สรุปปัญหาที่ทำให้คนขาดความเชื่อมั่นในศาลทหารไว้ ดังนี้

ประการแรก คือการที่ศาลทหารอยู่ในสังกัดกระทรวงกลาโหม โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้รับผิดชอบงานธุรการ แตกต่างจากศาลยุติธรรมและศาลปกครองซึ่งมีองค์กรบริหารงานบุคคลและงบประมาณที่เป็นอิสระ จึงเกิดข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของตุลาการและหลักการแบ่งแยกอำนาจ จนคนมองว่า ศาลทหารอาจเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการบังคับบัญชาทางทหาร มากกว่าองค์กรตุลาการอย่างที่ควรจะเป็น

นอกจากนั้น ยังใช้อำนาจโดยที่มักจะรวมศูนย์อยู่ที่ผู้บังคับบัญชา ทำให้ตรวจสอบและถ่วงดุลได้ยาก

อีกปัญหาที่สำคัญ คือการกำหนดคุณสมบัติขององค์คณะตุลาการทหารที่ไม่รัดกุมเพียงพอ โดยอาจไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางกฎหมาย และมาจากการแต่งตั้งโดยผู้บังคับบัญชา ไม่ใช่การสอบแข่งขัน จนเกิดข้อกังวลในคุณสมบัติ

ในอดีต มีหลายคดีสำคัญที่ลดทอนความเชื่อมั่นในศาลทหารไทย เช่น คดี 6 ตุลา 2519 หลังเหตุการณ์สังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รัฐบาลในขณะนั้นได้นำตัวนักศึกษาและประชาชนจำนวนมากที่ถูกจับกุมไปดำเนินคดีในศาลทหาร แต่กระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างล่าช้าและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า ขาดความโปร่งใส และไม่สามารถนำผู้กระทำผิดตัวจริงมารับโทษได้อย่างเป็นธรรม ท้ายที่สุด คดีเหล่านี้ก็จบลงด้วยการนิรโทษกรรม ซึ่งหมายความว่าไม่มีผู้ใดต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตและการบาดเจ็บจำนวนมาก

หรือในปี 2554 ที่พลทหารวิเชียร เผือกสม ทหารเกณฑ์ เสียชีวิตจากการถูกซ้อมทรมานอย่างรุนแรงและถูกธำรงวินัยที่ค่ายทหารในจังหวัดนราธิวาส คดีนี้ถูกนำขึ้นพิจารณาในศาลทหาร กระบวนการดำเนินคดีเป็นไปอย่างยืดเยื้อ มีการตั้งข้อสังเกตถึงความล่าช้าของคดี และความพยายามในการปกปิดข้อมูลหรือช่วยเหลือผู้กระทำผิด แม้ในที่สุดจะมีคำพิพากษาและผู้กระทำผิดบางรายถูกลงโทษ แต่บทลงโทษที่ออกมามักถูกมองว่า ไม่สมเหตุสมผล เมื่อเทียบกับความโหดร้ายของเหตุการณ์

และยังรวมถึงคดีทุจริตและฟอกเงิน อย่างในปี 2557 ที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และเครือข่าย ถูกจับกุมในข้อหาทุจริต เรียกรับผลประโยชน์ และฟอกเงิน ซึ่งเป็นคดีอาญาทั่วไปที่มีความซับซ้อนและมีพลเรือนเกี่ยวข้องจำนวนมาก แต่ เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยมีการประกาศกฎอัยการศึก คดีนี้จึงถูกโอนไปให้ศาลทหาร จนสาธารณะชนตั้งคำถามถึงความเหมาะสม และศักยภาพของศาลทหารในการพิจารณาคดีประเภทนี้

อุปสรรคต่อความยุติธรรมในศาลทหาร

iLaw หรือโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน ชี้ถึงข้อจำกัดหลายประการของศาลทหารที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของผู้เสียหายและผู้ใต้บังคับบัญชาในกองทัพ ซึ่งล้วนเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือ

ประการแรก คือกฎระเบียบทางทหาร ที่มีสารพัดข้อห้ามสำหรับทหารชั้นผู้น้อยที่ต้องการร้องเรียนผู้บังคับบัญชา เช่น ห้ามร้องทุกข์แทนผู้อื่น ห้ามลงชื่อรวมกัน หรือเข้ามาร้องทุกข์พร้อมกันหลายคน และห้ามประชุมกันเพื่อหารือเรื่องจะร้องทุกข์ ทำให้ทหารชั้นผู้น้อยอาจไม่กล้าท้าทายอำนาจทหารชั้นผู้ใหญ่ เนื่องจากไม่มีหลักประกันในกระบวนการยุติธรรม

ในด้านของพลเรือน ผู้เสียหายที่เป็นพลเรือนจะไม่สามารถเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาในศาลทหารได้โดยตรง และไม่สามารถเป็นโจทก์ร่วมได้ ต้องมอบคดีให้อัยการทหารเป็นผู้ดำเนินการเท่านั้น

ในด้านของกระบวนการ ในศาลทหาร หากจำเลยให้การรับสารภาพหรือไม่ติดใจฟัง การพิจารณาและสืบพยานอาจไม่ทำต่อหน้าจำเลยนั้นก็ได้ ซึ่งแตกต่างจากศาลพลเรือนที่ทุกขั้นตอนต้องทำต่อหน้าจำเลย เพื่อให้มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมได้

และสุดท้าย คือศาลทหารจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคดีทางแพ่ง ดังนั้น ศาลทหารไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาให้จำเลยคืนทรัพย์ หรือชดใช้ค่าเสียหาย หากโจทก์มีการร้องขอให้ยึดทรัพย์จำเลย จะให้ส่งคดีนั้นไปยังศาลพลเรือนอีกครั้ง

เหล่านี้จึงสะท้อนว่า ศาลทหาร อาจถูกออกแบบมาเพื่อรักษาความเป็นระเบียบและวินัยในกองทัพ แต่อาจเรียกได้ว่าละเลยสิทธิขั้นพื้นฐานและความโปร่งใสในกระบวนการยุติธรรม จนกลายเป็นความรู้สึกของประชาชนในวงกว้าง ว่าเป็นความยุติธรรมที่ถูกอำพรางไว้

ถ้าหากคดีเมย ตัดสินในศาลพลเรือน…?

คำพิพากษาคดีเมย ที่จำเลยได้รับโทษจำคุกเพียง 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท และรอลงอาญา 2 ปี ได้จุดชนวนคำถามสำคัญเกี่ยวกับการให้สัดส่วนของโทษในศาลทหาร เมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานของศาลพลเรือนในคดีที่คล้ายคลึงกัน

ใน ศาลพลเรือน (ศาลยุติธรรม) คดีทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย จัดอยู่ในความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี หากมีการลงมือกระทำโดยเจตนาหรือมีลักษณะเป็นการทรมานอาจมีโทษสูงขึ้น แม้ว่าศาลพลเรือนก็สามารถใช้ดุลยพินิจในการลดหย่อนโทษหรือรอลงอาญาได้ตามพฤติการณ์ แต่โดยทั่วไปแล้ว บทลงโทษสำหรับความผิดที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตมักจะมีความรุนแรงกว่าและไม่ค่อยมีการรอลงอาญาในกรณีที่ผลลัพธ์รุนแรงถึงชีวิต

เพื่อให้เห็นภาพอย่างชัดเจนมากขึ้น ก่อนหน้านี้ไม่นาน วันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 ได้มีคำพิพากษาคดี เน–พลทหาร วรปรัชญ์ พัดมาสกุล ที่เสียชีวิตจากการถูกครูฝึกซ่อมวินัยหลังเข้าเป็นทหารเกณฑ์เพียง 3 เดือน โดยศาลได้ตัดสินจำคุก ครูฝึก 2 ราย รายละ 20 ปี และ 15 ปี ตามลำดับ ส่วนทหารเกณฑ์อีก 11 คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยครูฝึก ถูกจำคุกคนละ 10 ปี หรือมีความผิดตาม ‘พ.ร.บ. อุ้มหาย’ หรือ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

ในการแถลงข่าวของ กมธ.ทหาร หลังมีคำพิพากษาคดีนี้ ชยพล สท้อนดี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาชน โฆษกคณะกรรมาธิการฯ ยกกรณีคดีของเนขึ้นมาเปรียบเทียบว่า คดีเน กับคดีเมย นั้น มีความคล้ายคลึงกัน โดยเป็นการเสียชีวิตจากการธำรงวินัยเช่นกัน แต่เมื่อคดีเมยถูกพิจารณาในศาลทหาร เนื่องจากในขณะที่เกิดเหตุนั้น พ.ร.บ. อุ้มหาย ยังไม่มีการบังคับใช้ ผลลัพธ์จึงออกมาแตกต่างกันทั้งความหนักของโทษ และการรอลงอาญา จนกลายเป็นข้อสังเกตว่า มาตรฐานการลงโทษระหว่างศาลทหารกับศาลพลเรือนมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

‘ปฏิรูปศาลทหาร’ อาจเป็นทางออก

ที่ผ่านมา มีการเรียกร้องและมีข้อเสนอให้ปฏิรูปศาลทหารในหลากหลายรูปแบบ และหลากหลายที่มา

ร่างพระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับใหม่) ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการแล้ว มีข้อเสนอให้ยกเลิกศาลจังหวัดทหารทุกแห่ง ให้สิทธิประชาชนทั่วไปสามารถฟ้องคดีอาญาในศาลทหารได้ (ยกเว้นศาลอาญาศึก และอนุญาตให้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลทหารในเวลาไม่ปกติ (กรณีประกาศกฎอัยการศึกที่ไม่มีการรบ) ตรงต่อศาลทหารสูงสุดได้ ร่างแก้ไข พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ของคณะกรรมาธิการการทหาร (กมธ.ทหาร) มีข้อเสนอที่ครอบคลุมและมุ่งเน้นการปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่ลึกซึ้งกว่า เช่น การยกเลิกศาลจังหวัดทหาร การให้ผู้เสียหายมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาเองได้ทั้งในเวลาปกติและไม่ปกติ ขยายสิทธิอุทธรณ์และฎีกา เสนอให้ตุลาการศาลทหารอยู่ภายใต้การกำกับของ "คณะกรรมการตุลาการศาลทหาร" ที่มีผู้แทนจากศาลยุติธรรมและศาลปกครอง เพื่อให้เป็นอิสระจากอำนาจการบังคับบัญชา นอกจากนี้ยังเสนอให้คดีเฉพาะทางบางประเภทอยู่ในอำนาจศาลพลเรือน กำหนดคุณสมบัติตุลาการทหารให้ชัดเจนขึ้นสำหรับคดีที่มีโทษสูง และปรับแก้ให้ห้ามสืบพยานลับหลังจำเลยพร้อมทั้งเพิ่มสิทธิการประกันตัว ข้อเสนอแก้รัฐธรรมนูญ ของพรรคประชาชน 2 ฉบับ เพื่อจำกัดอำนาจและบทบาทของกองทัพ โดยฉบับแรกเสนอแก้มาตรา 50 (5) ให้ การเกณฑ์ทหารในยามสงบทำไม่ได้ บังคับเฉพาะเมื่อประเทศมีภัยสงครามเท่านั้น เพื่อส่งเสริมกองทัพอาสาสมัครและใช้ทรัพยากรบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ อีกฉบับเสนอแก้มาตรา 199 เพื่อ ตัดอำนาจศาลทหารในเวลาปกติ ให้มีอำนาจพิจารณาคดีเฉพาะเมื่อมีการประกาศสงครามเท่านั้น ซึ่งจะทำให้คดีของทหารต้องขึ้นศาลพลเรือน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางกระบวนการยุติธรรมและสร้างมาตรฐานเดียวกันกับพลเรือน ระเบียบราชการศาลทหารว่าด้วยกำหนดระยะเวลาดำเนินงาน ในเดือนมิถุนายน 2566 มีการกำหนดกรอบเวลาการพิจารณาคดีในศาลทหารชั้นต้นให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี และศาลทหารกลาง/สูงสุดภายใน 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อลดความล่าช้าและเพิ่มประสิทธิภาพ

หลังจากที่มีคำพิพากษาคดีเมย ก็ยังคงมีข้อเรียกร้องจากนักการเมือง และเสียงจากภาคประชาสังคม ให้บุคลากรทางทหารที่กระทำความผิดควรขึ้นศาลพลเรือน หรือยกเลิกศาลทหารสำหรับคดีอาญาทั่วไป เพื่อให้เกิดความยุติธรรมที่เท่าเทียมและโปร่งใสยิ่งขึ้น

วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 คณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร นำโดย ชยพล สท้อนดี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาชน ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการฯ เอกราช อุดมอำนวย สส. กทม. พรรคประชาชน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการฯ ได้แถลงการณ์ถึงกรณีคำตัดสิน

ชยพล ชี้ว่า ทุกครั้งที่เกิดความเสียหาย หรือการสูญเสีย กองทัพมักจะออกมาชี้แจงเสมอ ว่ากองทัพมีมาตรฐานกำหนดไว้ชัดเจนว่าห้ามทำเกินกรอบอำนาจต่างๆ แต่ “กองทัพไม่เคยบังคับใช้มาตรฐานนั้นอย่างเท่าเทียมกัน” และแทนที่จะแสดงความรับผิดชอบอย่างจริงใจ กลับถูกพิจารณาคดีในศาลทหาร

ชยพล กล่าวว่า “ถึงเวลาแล้วที่กองทัพจะต้องตระหนักรู้ ว่าตนเองจะต้องมีมาตรฐาน ที่ไม่เพียงแค่เขียนไว้ในกระดาษและประกาศกันเอง แต่จะต้องบังคับใช้อย่างเข้มงวด”

อ้างอิงจาก

ilaw.or.th [1] [2]

prd.go.th/th

so03.tci-thaijo.org

wiki.kpi.ac.th

Editor: Thanyawat Ippoodom

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก The MATTER

‘ปีนี้น้ำท่วมหนักที่สุดในชีวิต’ สถานการณ์น้ำท่วมน่านยังวิกฤต ระดับน้ำสูงกว่า 9.5 ม. ท่วมใจกลางเมือง สั่งปิดแล้ว 309 โรงเรียน รถสัญจรไม่ได้

52 นาทีที่แล้ว

ย้อนเรื่องราวในวันวานของกรุงโรม ผ่านแฟชั่นโชว์จาก ‘Dolce & Gabbana’ ปี 2025

17 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ตัวตน ตัวฉัน ตัวใคร ชวนดู 5 หนังตั้งคำถามถึงความลื่นไหลในตัวตน

17 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เพศสภาพ ทนายความ เครื่องแบบ คุยกับ ชิษณ์ชาภา พานิช ทนายความผู้เรียกร้องสิทธิการแต่งกายตามเพศสภาพ

18 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

รวมพลังออนไลน์! ใช้แฮชแท็ก #cambodiaopenedfire ต้านการบิดเบือนข้อเท็จจริง

สยามรัฐ

“สส.ศรีสะเกษ พท.” เรียกร้องรัฐบาล เร่งตั้งศูนย์ข่าว-ช่วยเหลือปชช. หลังชาวบ้านในพื้นที่สับสน

สยามรัฐ

เปิดประวัติ “ฮุน ซาเรือน” เอกอัครราชทูตกัมพูชา ประจำประเทศไทย

TNN ช่อง16

“สส.ศรีสะเกษ พท.” เรียกร้องรัฐบาล เร่งตั้งศูนย์ข่าว-ช่วยเหลือปชช. หลังชาวบ้านในพื้นที่สับสน

สยามรัฐ

ขอม้วนเดียวจบ! ส่ง ‘F-16’ จำนวน 6 ลำ ยิงทำลายฐานกัมพูชา

ไทยโพสต์

“โรม" แนะต้องให้ฑูต ตปท. เข้าไปสังเกตการณ์พื้นที่ ให้ประชาคมโลกเห็นความรุนแรงของ "กัมพูชา"

THE ROOM 44 CHANNEL

ข่าวและบทความยอดนิยม

นิวเคลียร์ สงคราม มหาอำนาจ: เข้าใจรากเหง้าปัญหาในตะวันออกกลาง ผ่านการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กับ ผศ.ดร.มาโนชญ์ อารีย์

The MATTER

“เราโทษตัวเองว่าเป็นคนส่งเขาไปตาย” ฟังเสียงครอบครัวผู้เสียหาย ในวันที่ พ.ร.บ.ทรมานอุ้มหายฯ​ ยังมีช่องโหว่-ขาดการบังคับใช้อย่างจริงจัง

The MATTER

โทษจำคุก 26 ปี 37 เดือน 20 วัน รวมคดี ม.112 ที่ ‘อานนท์ นำภา’ กำลังเผชิญ

The MATTER
ดูเพิ่ม