เฮลท์&บิวตี้ สโตร์ดีมานด์พุ่ง บิ๊กเนมเร่งขยายสาขา-รุกทำตลาดชิงแชร์ 2.81 แสนล้าน
ธุรกิจร้านสุขภาพและความงามหรือเฮลท์แอนด์บิวตี้ สโตร์ ของไทยในปี 2568 ยังคงคึกคักและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและกำลังซื้อที่ผันผวน ด้วยแรงขับเคลื่อนจากดีมานด์ของกลุ่มผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพและความงามเพิ่มขึ้น และแรงหนุนจากช่องทางการขายผ่านอีคอมเมิร์ซที่เติบโตแบบก้าวกระโดด ทำให้ตลาดยังคงเฉิดฉายและน่าจับตามอง
โดยข้อมูลล่าสุดระบุว่า มูลค่าตลาดความงามในประเทศไทยปี 2567 พุ่งสูงถึง 2.81 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% จากปีก่อนหน้า และกลายเป็นหนึ่งใน 5 อุตสาหกรรมสำคัญที่ขับเคลื่อน GDP ของประเทศ และยังคงมีศักยภาพในการเติบโตต่อไปในปีนี้ โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2570 ตลาดสุขภาพและความงามทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงราว 5.8 แสนล้านดอลลาร์ และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 6% ต่อปี สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมความงามที่ยังคงสดใสต่อไป
“วัตสัน” ปูพรม 55 สาขาใหม่
นางสาวนวลพรรณ ชัยนาม กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า ในปีนี้ภาพรวมตลาดเฮลท์แอนด์บิวตี้ในประเทศไทยยังคงเติบโตแข็งแกร่ง เนื่องจากผู้บริโภคหันมาดูแลตัวเองทั้งภายในภายนอก รวมถึงผลสำรวจของบริษัทเมื่อปลายปี 2567 ที่พบว่า 80% ของผู้บริโภคทานวิตามินอย่างน้อยวันละ 1-2 เม็ด และพร้อมใช้จ่ายกับสินค้าสุขภาพสูงถึง 1,000-3,000 บาทต่อเดือน
ปัจจุบัน วัตสันมีสาขาทั้งหมด 750 สาขา ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย ทั้งนี้บริษัทจะมุ่งสร้างเครือข่ายสาขาที่แข็งแกร่งทั่วประเทศ ด้วยการเดินหน้าขยายสาขาใหม่อีก 55 สาขา แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 50% และต่างจังหวัด 50% ซึ่งกว่า 80% จะเปิดในศูนย์การค้า
“เพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการ พร้อมตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและความงามควบคู่กัน วัตสันจะขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ในหมวดสุขภาพอีกกว่า 350 รายการ จากเดิมมีสินค้ากว่า 800 รายการ พร้อมขยายสาขาใหม่ทั่วประเทศ เพื่อสร้างการเข้าถึงที่ง่ายและสะดวกสบายยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า นอกจากนี้ยังเน้นการเติบโตควบคู่ไปกับการส่งเสริมด้านความยั่งยืน โดยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มสินค้าในกลุ่ม “Sustainable Choices” กว่า 900 รายการด้วย ควบคู่ไปกับกลยุทธ์ (O+O) ออฟไลน์-ออนไลน์ เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของลูกค้า”
“อีฟแอนด์บอย” ตั้งเป้าโต 30%
ขณะที่นายหิรัญ ตันมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีฟแอนด์บอย จำกัด (EVEANDBOY) กล่าวสว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโต 40% เป็นมูลค่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งเกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนเติบโตมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มเครื่องสำอาง (MAKEUP) 45% ตามมาด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (SKINCARE) 40% กลุ่มน้ำหอม (FRAGRANCE) 35% ทำให้ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเติบโต 30% และภายใน 3 ปีจะมีรายได้แตะหมื่นล้านบาท
โดยในปีนี้อีฟแอนด์บอย มีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 25 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งจะใช้งบลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าสิ้นปีจะมีสาขารวม 65 แห่ง นอกจากนี้มีแผนเปิดตัวแอปพลิเคชั่นในกลางปีนี้เพื่อขยายฐานสมาชิกอีฟแอนด์บอยเพิ่มขึ้นอีก 40% จากปัจจุบันมีอยู่ 2.7 ล้านคน
“บิวเทรี่ยม” จ่อขึ้นแท่นบิวตี้รีเทลสากล
อีกหนึ่งแบรนด์ที่มาแรง คือ “บิวเทรี่ยม” ซึ่งล่าสุด นายอติโรจน์ โรจน์รัตนวลี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท บิวเทรี่ยม จำกัด ย้ำว่า BEAUTRIUM ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เห็นได้จากการวัดผลสำเร็จจากความพึงพอใจของลูกค้า ไม่ใช่แค่การขยายสาขา โดยมีฐานสมาชิกเติบโตเป็นกว่า 1 ล้านคนในปี 2567 และมีอัตราการกลับมาใช้บริการสูงถึง 40% ภายใน 5 เดือนแรกที่ผ่านมา และมีมูลค่าการซื้อต่อครั้งเพิ่มขึ้น 5% ด้วย สิ่งนี้บ่งชี้ให้เห็นถึงความไว้วางใจที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์
“บิวเทรี่ยมยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงจากลูกค้า โดยมีอัตราการกลับมาซื้อซ้ำถึง 40% สินค้ากลุ่มสกินแคร์และเมคอัพยังคงเป็นหมวดหลักที่ได้รับความนิยม โดยสกินแคร์คิดเป็น 37% และเมคอัพ 35% บิวเทรี่ยมเน้นการสร้างเครือข่ายร้านค้าที่แข็งแกร่ง ระบบซัพพลายเชนที่มีประสิทธิภาพ และการลงทุนในช่องทางออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการสนับสนุนแบรนด์ไทย เพื่อขับเคลื่อนวงการบิวตี้ไทยให้ก้าวสู่ผู้นำในภูมิภาค”
นอกจากนี้ปัจจัยสำคัญของการเติบโตคิอ “แบรนด์ไทย” กลับมาเป็นที่นิยมมากขึ้นปัจจุบันมีแบรนด์ไทยวางจำหน่ายในร้านมากกว่า 500 แบรนด์ และคิดเป็น กว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายทั้งหมด สะท้อนถึงความตั้งใจในการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ด้านความงามของไทยให้ก้าวไกลสู่เวทีโลก
“มัลตี้ บิวตี้” น้องใหม่ K-Beauty แรง
“มัลตี้ บิวตี้” ที่เน้นตลาด K-Beauty ยังคงมั่นใจในศักยภาพของตลาดนี้ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าสกินแคร์ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายกว่าแบรนด์จากฝั่งตะวันตก ซึ่งปัจจุบัน มัลตี้ มี 10 สาขาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีสัดส่วนยอดขายจากกลุ่มสินค้าสกินแคร์สูงถึง 35% ซึ่งสะท้อนความนิยมผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากเกาหลีในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย และมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 2-3 สาขาภายในปี 2568 โดยตั้งเป้าดันยอดขายให้แตะ 1,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะเติบโตในตลาดนี้อย่างแข็งแกร่ง
“มูจิ” ลงเล่นสนามสกินแคร์
กลายเป็นกระแสและน่าจับตามองทีเดียว สำหรับแบรนด์ “มูจิ” (MUJI) ที่มีนายอกิฮิโร่ คาโมการิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งล่าสุดประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์สกินแคร์ 2 ซีรีส์ใหม่ ภายใต้แนวคิด Power of Nature โดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ 100% ในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต มาเพื่อตอบโจทย์การดูแลผิวอย่างตรงจุดทั้งผู้หญิงและผู้ชาย หวังเพิ่มสัดส่วนยอดขายของกลุ่มสกินแคร์มากขึ้นและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นและมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากให้ความมั่นใจและเลือกใช้ในชีวิตประจำวัน เราเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์กลุ่ม Sensitive Skin Series และ Booster Series จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยที่ใส่ใจในสุขภาพผิว และเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสม”
ดีมานด์ที่ยังคงสูง และการแข่งขันที่ดุเดือดของบิ๊กเนมในตลาด “เฮลท์แอนด์บิวตี้” ยังเป็นแรงผลักสำคัญทำให้ตลาดนี้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอีก 2-3 ปีนับจากนี้
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,108 วันที่ 26 - 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568