เช็คด่วน! ประกันปรับเงื่อนไข เพิ่มเบี้ยไม่แจ้งล่วงหน้า หากพบร้องเรียนได้ทันที
หลังจากเกิดกรณีที่บริษัทประกันภัยชื่อดัง มีการปรับค่าเบี้ยขึ้นในอัตราที่ถือว่าสูง และกรณีประกันปรับเงื่อนไขไม่แจ้ง ที่ผู้เอาประกันรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้มีการเรียกบริษัทเข้าหารือ ก่อนที่ในที่สุดบริษัทยกเลิกการดำเนินการดังกล่าวนั้น
นายจิณณะ แย้มอ่วม อนุกรรมการด้านการเงินและการธนาคาร สภาผู้บริโภค กล่าวว่า แม้กรณีของกรุงไทย – แอกซ่าจะยุติลงแล้ว แต่ยังไม่สามารถตัดประเด็นที่อาจมีบริษัทประกันอื่นดำเนินการในลักษณะเดียวกัน เพียงแต่ยังไม่ถูกเปิดเผยในวงกว้าง โดยบางรายอาจปรับเบี้ยเล็กน้อยจนผู้บริโภคสามารถแบกรับได้ โดยแนวทางนี้ถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค และไม่ควรเป็นที่ยอมรับ
ทั้งนี้การออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยในแต่ละครั้ง บริษัทประกันจะต้องมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงโดยนักคณิตศาสตร์ประกันภัยอย่างละเอียด มีการคำนวณจุดคุ้มทุน ระยะเวลาคุ้มครอง และค่าใช้จ่ายที่คาดการณ์ไว้ทั้งหมด ก่อนจะเสนอต่อ คปภ. เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของแบบประกัน แต่หากบริษัทได้ผ่านขั้นตอนเหล่านี้แล้ว การกลับมาเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในภายหลัง ถือว่าไม่ชอบธรรม สะท้อนว่าบริษัทไม่ยอมรับความเสี่ยงที่ตนเองประเมินไว้
สำหรับแนวโน้มค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นไม่ควรถูกนำมาใช้เป็นเหตุผลหลักในการเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภคเพิ่มเติม เนื่องจากบริษัทประกันควรบริหารความเสี่ยงโดยยึดจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ประเมินไว้ล่วงหน้า หากเห็นว่าค่ารักษาพยาบาลสูงผิดปกติ บริษัทควรตรวจสอบต้นเหตุ
เช่น มีการเรียกเก็บค่ารักษาเกินความจำเป็นหรือไม่ เช่น ค่าห้องพิเศษหรือค่ายาเวชภัณฑ์บางรายการมีราคาสูงเกินจริงหรือไม่ ไม่ใช่ผลักภาระมาที่ผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งนอกจากเป็นการละเลยการบริหารความเสี่ยงของตนเองแล้ว ยังสะท้อนการไม่ปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจของบริษัทเอง
“ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากโครงสร้างด้านค่ารักษาพยาบาลที่ไม่มีการควบคุมราคาในภาคเอกชนอย่างจริงจัง ทำให้โรงพยาบาลบางแห่งสามารถตั้งราคาได้โดยไม่มีเพดานหรือกลไกกำกับ ค่ารักษาพยาบาลจึงมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยไม่มีขีดจำกัด
ถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคและเปรียบเสมือนการค้าชีวิต ทำให้ อนุกรรมการฯ เสนอว่าควรมีการกำหนดเพดานราคาหรือโครงสร้างควบคุมค่ารักษาพยาบาลโดยกระทรวงพาณิชย์หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ระบบประกันสุขภาพและชีวิตมีความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย”
โดยที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคเคยมีข้อเสนอขอให้ทบทวนระบบการร่วมจ่าย (Co-Payment) ที่ใช้ในแบบประกันสุขภาพบางประเภท เนื่องจากเป็นมาตรการที่เกิดขึ้นในปลายเหตุ แทนที่จะจัดการกับต้นเหตุซึ่งคือการควบคุมค่ารักษาพยาบาลที่สูงเกินจริง และขณะนี้แม้มีคำสั่งบังคับใช้แล้ว แต่สภาผู้บริโภคจะเดินหน้าติดตามเพื่อขอให้มีการทบทวนระบบดังกล่าวหากพบว่าส่งผลเสียต่อผู้บริโภค
อย่างไรก็ดี อยากให้ผู้บริโภคตระหนักถึงสิทธิของตนเองในฐานะผู้เอาประกันภัย โดยควรตรวจสอบรายละเอียดเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างรอบคอบ หากพบการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มภาระให้ตนเอง สามารถแจ้งมายังสภาผู้บริโภค ผ่านช่องทางออนไลน์ที่เว็บไซต์สภาผู้บริโภค เพื่อตรวจสอบและเรียกร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงพร้อมสนับสนุนทางกฎหมายหากจำเป็น พร้อมเปิดรับข้อมูลจากผู้บริโภคที่อาจประสบปัญหาลักษณะเดียวกันกับบริษัทประกันอื่น เพื่อให้สามารถติดตามและผลักดันนโยบายในภาพรวมต่อไป