“ทรัมป์” ส่งจดหมายถึง 17 บริษัทยาชั้นนำ กดดันลดราคายาในสหรัฐ ขีดเส้นตอบรับใน 29 ก.ย.
"ทรัมป์" ส่งจดหมายถึง 17 บริษัทยาชั้นนำ กดดันลดราคายาในสหรัฐ ขีดเส้นตายตอบรับ 29 กันยายนนี้ หากไม่ร่วมมือ รัฐบาลเตรียมใช้มาตรการควบคุมราคา หรือนำเข้ายาราคาถูกจากต่างประเทศ
วันที่ 1 สิงหาคม 2568 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้ากดดันอุตสาหกรรมเภสัชกรรมอีกระลอก ด้วยการส่งจดหมายถึงผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยาชั้นนำ 17 แห่งทั่วโลก รวมถึง Pfizer, Merck, Johnson & Johnson, AstraZeneca และ Sanofi เรียกร้องให้ลดราคายาสำหรับประชาชนสหรัฐฯ ให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว
คำสั่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของคำสั่งฝ่ายบริหารที่ทรัมป์ลงนามเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่าหากบริษัทยาไม่ดำเนินการตามข้อเสนอ รัฐบาลสหรัฐฯ อาจใช้อำนาจทางกฎหมายในการออกระเบียบควบคุมราคา หรือหันไปใช้มาตรการนำเข้ายาจากต่างประเทศเพื่อให้ราคายาในประเทศลดลงอย่างเป็นรูปธรรม
ในจดหมายที่ทรัมป์โพสต์บนแพลตฟอร์ม Truth Social เขาระบุว่า ข้อเสนอที่บริษัทยาเคยเสนอมาเพื่อแก้ปัญหาราคายา มักเป็นการผลักภาระให้ผู้อื่น และเรียกร้องการสนับสนุนจากรัฐโดยไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคาอย่างแท้จริง เขาย้ำว่าบริษัทยาควรเสนอราคายาที่ดีที่สุดให้กับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการ Medicaid และต้องรับประกันว่าราคานี้จะใช้กับยาตัวใหม่ทุกตัวด้วย
ทรัมป์ยังเสนอให้มีการคืนรายได้ส่วนเกินที่บริษัทได้จากการขึ้นราคายาในต่างประเทศ กลับคืนให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อนำไปลดภาระให้ผู้ป่วยและผู้เสียภาษี นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้บริษัทหยุดเสนอราคาที่ดีกว่าให้ประเทศอื่น ๆ พร้อมทั้งเปิดช่องทางให้บริษัทสามารถขายยาให้ผู้ป่วยโดยตรงโดยไม่ผ่านตัวกลาง หากขายในราคาที่เท่ากับ "most-favored-nation" หรือราคาต่ำที่สุดในประเทศพัฒนาแล้ว
รัฐบาลให้เวลาบริษัทยาจนถึงวันที่ 29 กันยายน ในการตอบกลับอย่างเป็นทางการ พร้อมข้อผูกพันที่มีผลทางกฎหมาย ทรัมป์ระบุชัดว่า หากไม่มีความร่วมมือ รัฐบาลจะใช้ทุกเครื่องมือที่มีเพื่อปกป้องประชาชนอเมริกันจาก "การตั้งราคายาในทางที่เอาเปรียบ"
ภายหลังคำแถลง หุ้นของบริษัทยาใหญ่หลายแห่ง เช่น Pfizer, Eli Lilly และ Gilead Sciences ปรับตัวลดลงราว 2% ขณะที่ดัชนี NYSE Arca Pharmaceutical Index ร่วงกว่า 3% ในวันเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ในแวดวงนโยบายสุขภาพมองว่า ข้อเรียกร้องของทรัมป์มีแนวโน้มที่จะเผชิญแรงต้านจากอุตสาหกรรม เนื่องจากอาจกระทบต่อรายได้และการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนายาใหม่ ๆ โดย Stacie Dusetzina ศาสตราจารย์ด้านนโยบายสุขภาพจากมหาวิทยาลัย Vanderbiltชี้ว่า บริษัทอาจพิจารณาบางผลิตภัณฑ์ที่สามารถขายตรงในราคาถูกลง แต่ก็ยากที่จะปรับทั้งระบบราคายา
ด้านโฆษกของ Pfizer ระบุว่าทางบริษัทกำลังหารือกับรัฐบาลทรัมป์และสภาคองเกรสอย่างต่อเนื่องเพื่อหาวิธีปรับปรุงการเข้าถึงและความสามารถในการซื้อยาของผู้ป่วยชาวอเมริกัน โดยย้ำว่าการเจรจาเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ขณะที่บริษัทอื่น ๆ เช่น Novartis, AbbVie และ Merck KGaA (EMD Serono) ต่างแสดงความพร้อมในการร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ เช่นกัน
อ้างอิง : www.reuters.com