Scale ย้ำสถานะยังเป็น ‘อิสระ’ แม้ Meta ถือหุ้น 49% พร้อมลุยขยายธุรกิจใหม่
เจสัน ดรอจ (Jason Droege) ประธานบริหารรักษาการของ Scale ออกมาย้ำจุดยืนชัดเจนว่า แม้ Meta บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เจ้าของ Facebook จะเข้าถือหุ้นในบริษัทถึง 49% แต่ Scale ยังคงเป็นบริษัทอิสระ และไม่มีการให้สิทธิพิเศษใดๆ กับ Meta ในการเข้าถึงข้อมูลหรือการใช้บริการต่างๆ ของบริษัท
“Meta ก็เป็นเหมือนลูกค้ารายอื่นๆ เราให้บริการตามมาตรฐานเดียวกัน ไม่มีข้อยกเว้นหรือสิทธิพิเศษอะไรทั้งนั้น” ดรอจ กล่าวในการให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการครั้งแรก หลังเข้ารับตำแหน่งซีอีโอเมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายน
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองบริษัทเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2019 ที่ Meta เริ่มใช้บริการของ Scale ในด้านการจัดเตรียมข้อมูลให้พร้อมสำหรับโมเดลปัญญาประดิษฐ์ ก่อนที่ในปี 2025 นี้ Meta จะตัดสินใจลงทุนก้อนใหญ่ มูลค่ากว่า 14.3 พันล้านดอลลาร์ (ราว 5.2 แสนล้านบาท) แลกกับการถือหุ้นเกือบครึ่งของ Scale
นอกจากการลงทุนแล้ว Meta ยังได้ตัว อเล็กซานเดอร์ หวัง (Alexandr Wang) ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตซีอีโอของ Scale ไปเป็นหัวหน้าหน่วยงานเอไอตัวใหม่ของ Meta ที่ชื่อว่า Superintelligence โดยมีพนักงานจาก Scale ไม่ถึงสิบคนที่ตัดสินใจย้ายตามเขาไปด้วย
ถึงแม้ หวัง จะยังมีตำแหน่งในบอร์ดบริหารของ Scale อยู่ แต่ดรอจ ยืนยันว่า Meta จะไม่มีผู้แทนเพิ่มเติมในบอร์ด และไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าภายในของบริษัทได้
“เรามีมาตรการปกป้องข้อมูลที่เข้มงวดมาก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของลูกค้าหรือทรัพย์สินทางปัญญา ทุกอย่างถูกจัดการภายใต้กระบวนการที่รัดกุม เพื่อให้มั่นใจว่าแต่ละลูกค้ายังคงได้รับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยสูงสุด” เขากล่าวเสริม
ดรอจ เคยทำงานเป็นรองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์ที่ Uber และยังเคยเป็นพาร์ตเนอร์ของบริษัท VC ชื่อดังอย่าง Benchmark กำลังเผชิญความท้าทายในการพา Scale ก้าวต่อไป ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในอุตสาหกรรมเอไอ
แม้ Scale จะมีชื่อเสียงในฐานะผู้นำด้านธุรกิจติดป้ายกำกับข้อมูล (Data Labeling) และสามารถสร้างรายได้กว่า 870 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา แต่ก็ต้องเจอกับคู่แข่งใหม่ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น Turing, Invisible Technologies, Labelbox และแม้แต่ Uber เองก็เข้ามาเล่นในตลาดนี้แล้ว
นอกจากนี้ การที่ Meta เข้ามาถือหุ้นใหญ่ใน Scale ยังทำให้ลูกค้าบางรายรู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะคู่แข่งโดยตรงของ Meta อย่าง OpenAI และ Google ที่มีรายงานว่าเริ่มลดระดับความร่วมมือ หรือเลิกใช้บริการไปแล้ว
เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้ Scale จึงเร่งขยับตัว ไม่ยึดติดกับการเป็นเพียงบริษัท Data Labeling อีกต่อไป แต่เริ่มขยายไปสู่บริการแอปพลิเคชันเอไอที่ทำงานร่วมกับโมเดลเอไอพื้นฐานต่างๆ และตอนนี้กำลังทำรายได้ระดับ “เก้าหลัก” จากกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ในธุรกิจสุขภาพ การศึกษา โทรคมนาคม ไปจนถึงภาครัฐของสหรัฐ
“เราไม่ได้พัฒนาเฉพาะเพื่อโมเดล Llama ของ Meta เท่านั้น เรายังคงทำงานกับโมเดลจากหลายค่าย เพราะเราเชื่อในการสนับสนุนระบบนิเวศเอไอที่เปิดกว้าง” ดรอจ กล่าว
ในช่วงที่บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ กำลังแย่งตัวบุคลากรด้านเอไออย่างหนัก Scale เองก็กำลังปรับโครงสร้างและวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมรับอนาคต โดย ดรอจ บอกว่า “โอกาสในอุตสาหกรรมนี้ยังมีอีกมาก และเราก็เคยพิสูจน์แล้วว่าบริษัทเราปรับตัวได้เร็ว ตั้งแต่ยุครถยนต์ไร้คนขับมาจนถึงยุค Generative AI”
“นี่คือบริษัทที่มีความคล่องตัวสูง และพร้อมเดินหน้าต่อในโลกเอไอที่เปลี่ยนเร็วแบบนี้” เขาทิ้งท้าย
อ้างอิง: Bloomberg