ชายออสซี่นิ้วบวม 1 เดือน สุดท้ายพบ “มะเร็งกินกระดูก”
ใครจะเชื่อว่าจากรอยแผลบวมเล็ก ๆ แต่กลับส่งผลถึงชีวิต..
(29 ก.ค. 68) สื่อต่างประเทศ ได้เปิดเผยเคสสุดช็อกที่เกิดขึ้นกับหนุ่มออสเตรเลียวัย 55 ปี หลังเจ้าตัวเกิดอาการนิ้วมือและนิ้วหัวแม่เท้าบวมอย่างรุนแรงนานกว่า 1 เดือน ก่อนที่จะรู้ว่านั่นคือ “มะเร็งกินกระดูก” แทบหมดเกลี้ยง และเหลือเพียงเนื้องอก
รายงานดังกล่าวถูกตีพิมพ์ในวารสาร The New England Journal of Medicine ระบุว่า ชายผู้โชคร้ายรายนี้ ได้ต่อสู้กับมะเร็งปอด ชนิดเซลล์สแควมัสที่แพร่กระจาย ซึ่งขณะรักษาได้เกิดอาการบวมที่เจ็บปวดบริเวณนิ้วกลางขวาและนิ้วหัวแม่เท้าขวา เป็นเวลานานกว่า 6 สัปดาห์
โดยลักษณะนิ้วมือทั้งสองข้างมีสีแดง แข็ง เจ็บ และนิ้วเท้าก็มีแผลที่ใต้เล็บ ซึ่งในตอนแรกแพทย์เข้าใจผิด คิดว่าเป็นอาการของโรคเกาต์หรือการติดเชื้อทั่วไป แต่ภายหลังทำการเอกซเรย์ จึงทราบว่า กระดูกนิ้วทั้ง 2 ข้างถูกทำลายด้วยเซลล์มะเร็งที่แพร่กระจาย ก่อนจะมีเนื้องอกเข้ามาแทนกระดูก ซึ่งอาการดังกล่าวเรียกว่า อะโครเมตาสตาซิส (Acrometastasis) ถือเป็นกรณีที่พบได้น้อยมาก โดยคิดเป็นเพียงประมาณ 0.1% ของการแพร่กระจายไปยังกระดูกทั้งหมด
อาการดังกล่าว มักเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยภาวะมะเร็งปอด มะเร็งทางเดินอาหาร หรือมะเร็งระบบทางเดินปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์ในระยะลุกลาม และมักเกิดกับผู้ชายเป็นส่วนใหญ่
ด้านผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า โรคอะโครเมตาสตาซิส (Acrometastasis) นั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก เนื่องจากกระดูกนิ้วมือและนิ้วเท้ามีไขกระดูกน้อยและได้รับเลือดไหลเวียนน้อยมาก ทำให้อะโครเมตาสตาซิสไม่น่าจะเป็นเป้าหมายของการแพร่กระจาย และเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคดังกล่าว โดยทั่วไปมักมีอัตราการรอดชีวิตน้อยกว่า 6 เดือน
อย่างไรก็ตามผู้ป่วยได้รับการฉายรังสีเพื่อรักษาตามอาการ กระทั่ง 3 สัปดาห์ต่อมา เขาเสียชีวิตจากภาวะแคลเซียมในเลือดพุ่งสูงอย่างอันตรายที่เกิดดื้อต่อการรักษา และเกี่ยวข้องกับมะเร็งในระยะลุกลาม
เคสดังกล่าวถือเป็นเรื่องราวที่สะเทือนใจ และแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวที่ซ่อนอยู่ของโรคมะเร็งระยะแพร่กระจาย ที่มีแต่แผลเล็ก ๆ สามารถคร่าชีวิตคนได้ ฉะนั้น หากใครรู้สึกผิดปกติกับร่างกายตัวเอง รีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน อย่าปล่อยให้เวลาผ่านจนสายเกินไป “อีจัน” เป็นห่วงครับ
ขอบคุณข้อมูล : New York Post