ทำไมคนรุ่นใหม่ไม่รับโทรศัพท์? เมื่อ 70% ขอแชทมากกว่าคุย
ถ้าเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คุณจะทำอย่างไร?
สำหรับคนรุ่นใหม่ คำตอบง่ายๆ คือ "มองดูหน้าจอ แล้วปล่อยให้มันดังต่อไป"
.
.
ถ้าคุณเป็นคนที่เกิดหลังปี 1990 ขึ้นไป เชื่อว่าคุณคงเข้าใจความรู้สึกนี้ดี แต่ถ้าคุณเป็นคนรุ่นพ่อแม่ หรือรุ่นพี่ในที่ทำงานที่ไม่เข้าใจพฤติกรรมว่าทำไมคนรุ่นใหม่ถึงไม่ชอบรับโทรศัพท์ บทความนี้อาจช่วยให้คุณเข้าใจมากขึ้น
.
การสำรวจล่าสุดจาก Uswitch ในสหราชอาณาจักร ที่เก็บข้อมูลจากคน 2,000 คนทำให้เราเห็นภาพชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ เพราะ 1 ใน 4 ของคนอายุ 18-34 ปี ยอมรับว่าพวกเขาจะไม่รับโทรศัพท์เลย ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขที่รู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม พวกเขาจะดูหมายเลขที่โทรเข้ามา แล้วเลือกตอบกลับด้วยข้อความแทน หรือค้นหาข้อมูลของหมายเลขนั้นทางออนไลน์ก่อนทุกครั้ง
.
นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังพบว่า 7 ใน 10 ของกลุ่มอายุเดียวกันนี้ มักจะเลือกส่งข้อความมากกว่าการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาใครสักคน แม้แต่คนสนิทหรือคนในครอบครัวก็ตาม
.
และมากกว่าครึ่งของคนกลุ่มนี้เชื่อว่า เมื่อมีคนโทรมาโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า นั่นแปลว่าต้องมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นแน่นอน
.
ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่สถิติที่น่าสนใจ แต่เป็นภาพสะท้อนของการเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง การเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลต่อวิธีการทำงาน การสร้างความสัมพันธ์ และการดำเนินชีวิตในสังคมสมัยใหม่ที่ทำให้โทรศัพท์ สิ่งประดิษฐ์ที่เคยเป็นหัวใจของการสื่อสารมนุษย์ กลายเป็นเครื่องมือสำรองที่ใช้เฉพาะเมื่อจำเป็น
.
.
ชีวิตของ GEN Z เด็กยุคหลัง SMS ที่เลือกใช้นิ้วมากกว่าเสียง
.
ทำไม Gen Z ถึงหลีกเลี่ยงการโทรศัพท์จนเป็นนิสัย? การตอบคำถามนี้ต้องดูที่พื้นฐานประสบการณ์ทางดิจิทัลที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากคนรุ่นก่อน
.
คนรุ่น Gen Z (เกิดหลังปี 1997) คือกลุ่มคนที่เติบโตขึ้นมาในโลกที่อินเทอร์เน็ตมีอยู่แล้ว และสมาร์ตโฟนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาไม่เคยรู้จักโลกที่ต้องแย่งกันใช้โทรศัพท์บ้าน ไม่เคยสัมผัสความตื่นเต้นเมื่อเพื่อนโทรมาหลังเลิกเรียนและต้องรีบวิ่งไปรับ
.
เมื่อเด็ก Gen Z เริ่มรู้จักกับการสื่อสาร พวกเขาเติบโตมากับแอปแชตอย่าง LINE, WhatsApp, Facebook Messenger และ Instagram DM ที่ไม่มีค่าใช้จ่าย (เมื่ออยู่ในพื้นที่มี Wi-Fi) และสามารถสื่อสารได้ตลอดเวลา การพิมพ์ข้อความกลายเป็นวิธีการสื่อสารหลักที่สะดวก สนุก และสามารถส่งได้พร้อมรูปภาพ วิดีโอ สติกเกอร์ และอีโมจิ และทักษะการรับโทรศัพท์กลายเป็นสิ่งที่เด็กรุ่นนี้ไม่เคยได้ฝึก
.
งานวิจัย Media multitaskers pay mental price, Stanford study shows จากมหาวิทยาลัย Stanford ชี้ให้เห็นว่าสมองของวัยรุ่นที่เติบโตมาในยุคดิจิทัลมีการเชื่อมต่อวงจรประสาทที่แตกต่างไปจากคนรุ่นก่อน พวกเขาถนัดที่จะประมวลผลข้อมูลหลายอย่างพร้อมกัน (Multitasking) และมีความสามารถในการรับรู้ข้อมูลที่หลากหลายในเวลาเดียวกัน
.
เมื่อรวมกับการที่ช่วงวัยรุ่นของ Gen Z ต้องเผชิญกับเหตุการณ์สำคัญอย่างการระบาดของโควิด-19 ที่บังคับให้ทุกคนต้องอยู่บ้านและสื่อสารผ่านหน้าจอ ยิ่งตอกย้ำให้การส่งข้อความกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของการสื่อสาร ในช่วงเวลา 2-3 ปีของการล็อกดาวน์ พวกเขายิ่งพัฒนาทักษะและความคุ้นเคยกับการสื่อสารผ่านข้อความมากขึ้นไปอีก
.
ด้วยเหตุนี้ Gen Z จึงมีความเชี่ยวชาญในการแสดงออกผ่านข้อความ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อีโมจิที่เหมาะสม การสร้างมีมที่สร้างสรรค์ หรือการตอบกลับที่ฉลาดและมีไหวพริบ พวกเขารู้สึกสามารถแสดงตัวตนได้อย่างมั่นใจผ่านการพิมพ์มากกว่าการพูด
.
นอกจากนี้ การส่งข้อความยังมอบอำนาจในการควบคุมการสนทนา ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะตอบเมื่อไหร่ ตอบอย่างไร หรือจะไม่ตอบเลยก็ได้ พวกเขาสามารถคิดถึงคำตอบที่เหมาะสมก่อนส่ง หรือหากต้องการยุติการสนทนา ก็สามารถทำได้โดยไม่รู้สึกอึดอัดเหมือนการวางสาย
.
Dr. Elena Touroni นักจิตวิทยาที่ปรึกษาและผู้ร่วมก่อตั้ง The Chelsea Psychology Clinic อธิบายว่า ระบบการสื่อสารแบบนี้สอดคล้องกับชีวิตที่ต้องจัดการงานหลายอย่างพร้อมกันของคนยุคปัจจุบัน พวกเขาสามารถตอบข้อความขณะทำกิจกรรมอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยกับการโทรศัพท์
.
ที่สำคัญ การสื่อสารผ่านแอปแชตยังมีข้อดีในแง่การเก็บประวัติการสนทนา สามารถย้อนกลับไปดูข้อมูลสำคัญได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่ เบอร์โทร หรือรายละเอียดนัดหมาย ซึ่งสะดวกกว่าการจดบันทึกระหว่างการโทรศัพท์อย่างมาก
.
.
ความกังวลเรื่องโทรศัพท์ของคนรุ่นใหม่ เมื่อเสียงเรียกเข้าเท่ากับข่าวร้าย
.
แต่มีอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่อยากรับโทรศัพท์ นั่นคือความกังวลและความเครียดที่เกิดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง หรือสั่นเงียบๆ ซึ่งความวิตกกังวลเกี่ยวกับการรับโทรศัพท์แบบนี้มาจาก "การเชื่อมโยงกับเรื่องเลวร้าย ความรู้สึกหวาดกลัวหรือหวาดระแวง"
.
เพราะเมื่อชีวิตเราวุ่นวายและตารางงานไม่แน่นอนมากขึ้น เรามีเวลาน้อยลงที่จะโทรหาเพื่อนเพียงเพื่อพูดคุยทั่วไป การโทรศัพท์จึงถูกสงวนไว้สำหรับข่าวสำคัญในชีวิตของเรา ซึ่งมักเป็นเรื่องซับซ้อนและยากลำบาก
.
อีกทั้งยังมี GEN Z อีกหลายคนที่ให้ความคิดเห็นในงานวิจัยดังกล่าวว่า พวกเขาไม่เคยตอบรับสายจากเบอร์ที่ไม่รู้จักเลย เพราะมักจะเป็นสแกมเมอร์หรือคนที่โทรมาเสนอขายสินค้า ดังนั้น จึงเป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะไม่รับสายเหล่านั้น แทนที่จะต้องคัดกรองว่าสายไหนเป็นสายที่มีความสำคัญจริงๆ
.
.
ผลกระทบที่มากกว่าแค่ไม่รับสาย แต่เป็นทักษะที่กำลังสูญหาย
.
การหลีกเลี่ยงที่จะรับสายโทรศัพท์ ไม่ได้ส่งผลเพียงแค่การพลาดโอกาสในการรับสาร แต่กำลังส่งผลกระทบในวงกว้าง ที่น่ากังวลที่สุดคือทักษะการสื่อสารที่กำลังถดถอยลงในคนรุ่นใหม่
.
ในงานวิจัยโดย Schlee & Karns และรายงานของ National Association of Colleges and Employers (NACE) ชี้ว่า "ทักษะการสื่อสารด้วยวาจาและการพูดในที่สาธารณะ" ติดโผทักษะที่สำคัญสูงสุดสำหรับผู้จบใหม่ แต่มีเพียงประมาณ 28%-41.6% ของนายจ้างเท่านั้นที่ประเมินว่าเด็กจบใหม่มีทักษะนี้ดีเพียงพอ
.
แม้แต่ความสามารถในการอ่านท่าทางหรือบรรยากาศที่ไม่ใช่คำพูด เช่น น้ำเสียง จังหวะการพูด และการหยุดฟังก็กำลังลดลง ซึ่งทักษะเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความสัมพันธ์ การเจรจาต่อรอง และการแก้ไขความขัดแย้งในที่ทำงาน
.
การสื่อสารที่พึ่งพาเพียงแค่ข้อความยังสามารถนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ง่าย โดยเฉพาะเมื่อต้องสื่อสารเรื่องที่ซับซ้อนหรือมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง การขาดน้ำเสียงและภาษากายทำให้ผู้รับสารไม่สามารถตีความความรู้สึกที่แท้จริงของผู้ส่งได้ ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งและความสัมพันธ์ที่แย่ลง
.
นอกจากนี้ ยังมีช่องว่างระหว่างวัยที่กำลังขยายตัวมากขึ้น คนรุ่นเก่าที่ชอบการโทรศัพท์อาจมองว่าการไม่รับสายเป็นการแสดงถึงความไม่เคารพหรือไม่ใส่ใจ ในขณะที่คนรุ่นใหม่มองว่าการโทรมาโดยไม่นัดหมายล่วงหน้าเป็นการรบกวน ความแตกต่างในวัฒนธรรมการสื่อสารนี้อาจสร้างความเข้าใจผิดและความขัดแย้งในที่ทำงานและในครอบครัว
.
.
แล้วจะสร้างสะพานเชื่อมช่องว่างการสื่อสารอย่างไร?
.
แม้ว่าทุกฝ่ายอาจมีความเห็นต่างเรื่องวิธีการสื่อสารที่เหมาะสม แต่เราสามารถหาจุดที่ลงตัวร่วมกันได้
.
สำหรับคนรุ่นเก่า การเข้าใจว่าการส่งข้อความก่อนโทรเป็นมารยาทใหม่ของยุคดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญ การส่งข้อความสั้นๆ เช่น "มีเวลาคุยทางโทรศัพท์สักครู่ไหม?" ก่อนโทรหา จะช่วยให้คนรุ่นใหม่มีเวลาเตรียมตัวและลดความวิตกกังวลลงได้มาก เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Google's Call Screen หรือแอปนัดหมายโทรศัพท์ ก็สามารถช่วยลดความกังวลและเพิ่มความสะดวกได้
.
ส่วนคนรุ่นใหม่ ก็ควรตระหนักว่าในบางสถานการณ์ การโทรศัพท์คุยกันยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด โดยเฉพาะเมื่อต้องการแก้ไขความเข้าใจผิด หารือเรื่องซับซ้อน หรือแสดงความเห็นอกเห็นใจ การปฏิเสธการโทรศัพท์อย่างสิ้นเชิงอาจทำให้พลาดโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและการพัฒนาทักษะการสื่อสารที่จำเป็น
.
ในองค์กรต่างๆ การสร้างแนวทางการสื่อสารที่ชัดเจนจะช่วยลดความขัดแย้งได้ เช่น การกำหนดว่าสถานการณ์ใดเหมาะกับการโทรศัพท์ และสถานการณ์ใดที่การส่งข้อความหรืออีเมลจะเพียงพอ นอกจากนี้ การจัดอบรมทักษะการสื่อสารทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการให้กับพนักงานทุกวัยก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์
.
สุดท้ายแล้ว การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับช่องทางที่ใช้ แต่ขึ้นอยู่กับความชัดเจน ความเคารพ และการเข้าใจความต้องการของทั้งผู้ส่งและผู้รับสาร ไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์หรือการส่งข้อความ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปิดใจยอมรับวิธีการสื่อสารที่แตกต่างและการหาจุดสมดุลที่เหมาะสมกับทุกฝ่าย
.
ในยุคที่การสื่อสารมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้ การยึดติดกับวิธีใดวิธีหนึ่งอาจทำให้เราพลาดโอกาสในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีและวัฒนธรรมจะยังคงเปลี่ยนแปลงต่อไป และวิธีการสื่อสารก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย ในอนาคตอันใกล้ เราอาจได้เห็นเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ผสมผสานข้อดีของทั้งการโทรศัพท์และการส่งข้อความเข้าด้วยกัน
.
.
คำถามสำคัญที่เราทุกคนควรถามตัวเองไม่ใช่ว่า "การโทรศัพท์หรือการส่งข้อความอย่างไหนดีกว่ากัน" แต่เป็น "วิธีการสื่อสารแบบใดที่เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์นี้" และ "ฉันจะปรับตัวอย่างไรเพื่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพกับคนทุกวัย" ต่างหาก
.
.
อ้างอิง
- Why Gen Z & Millennials are hung up on answering the phone: Yasmin Rufo, BBC - http://bit.ly/3GHNFix
- Job Requirements for Marketing Graduates: Are There Differences in the Knowledge, Skills, and Personal Attributes Needed for Different Salary Levels?: Regina Pefanis Schlee and Gary L. Karns, Sage Journals - http://bit.ly/3GOU8YZ
- Media multitaskers pay mental price, Stanford study shows: Adam Gorlick, Stanford - http://bit.ly/4lKm2Vl
-
.
.
#GENZ
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast