ในหลวง “องค์จอมทัพไทย” ทรงห่วงใยสอบถามสถานการณ์ทุกวัน “บิ๊กกุ้ง” เปิดเบื้องหลัง-ชัดไม่ต่ออายุราชการ!? ** “อิ๊งค์”แจง “อยากได้อะไรก็บอก” แค่ตั้งคำถาม ส่วน “แม่ทัพภาค 2 เป็นฝ่ายตรงข้าม” ต้องการแยกปัญหาออกจากบุคคล
ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ ในหลวง “องค์จอมทัพไทย” ทรงห่วงใยสอบถามสถานการณ์ทุกวัน “บิ๊กกุ้ง” เปิดเบื้องหลัง-ชัดไม่ต่ออายุราชการ!?
ความเคลื่อนไหวที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ "บิ๊กกุ้ง" พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สร้างความสนใจเป็นอย่างมาก ในงาน "สาธิตเกษตรรวมใจสู่แนวหน้า ปลูกต้นกล้าแทนคุณแผ่นดิน" เมื่อวานนี้ (14 ส.ค.) ..เพราะ ไม่ใช่เพียงแค่การบรรยายสถานการณ์ชายแดน แต่เป็นการเปิดเผยเรื่องราวสำคัญ ที่สังคมต้องปลาบปลื้ม
“พล.ท.บุญสิน” ได้เผยถึงเบื้องหลังการทำงาน ว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยอยู่ตลอดเวลา ท่านได้สอบถามสถานการณ์ไปที่แม่ทัพทุกวัน” โดยมีกองงานของพระองค์เป็นผู้ประสานงาน และรายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงพระมหากรุณาธิคุณ และความใส่พระทัยของ "องค์จอมทัพไทย" ที่มีต่อความมั่นคงของประเทศ
“แม่ทัพกุ้ง” ยังย้ำด้วยว่า “ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์นำกองทัพ และปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นเดิม” ซึ่งเป็นพลังใจสำคัญให้ทหารทุกคน พร้อมที่จะสละชีพเพื่อชาติ
ขณะที่ท่ามกลางกระแสข่าวสะพัด เรื่องการต่ออายุราชการ “พล.ท.บุญสิน” ที่จะเกษียณในสิ้นเดือนกันยายนนี้ ได้ให้สัมภาษณ์ ที่ดูเหมือนจะเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า พร้อมจะก้าวเดินต่อไปในเส้นทางใหม่
“แม้จะถอดเครื่องแบบแล้ว แต่ก็ยังอยู่ช่วยเหมือนเดิม” และยืนยันว่า ตัวเองคือคนไทยคนหนึ่ง
ส่วนการตอบคำถามเรื่องการต่ออายุราชการว่า เป็น “กระแสสังคมมากกว่า” พร้อมทั้งขอบคุณทุกกำลังใจ ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า เจ้าตัวไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง แต่พร้อมจะทำหน้าที่ในฐานะประชาชนคนไทยผู้รักชาติ รักแผ่นดินต่อไป
ประโยคเด็ดที่ทำให้นักข่าวต้องรีบจดบันทึกคือ เมื่อถูกถามว่าหลังเกษียณแล้วจะกังวลเรื่องการถูกโจมตี จากกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์จากคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือไม่ “บิ๊กกุ้ง” ตอบอย่างมั่นใจว่า “ไม่ได้ทำอะไรผิด พร้อมต่อสู้ทุกรูปแบบอยู่แล้ว”
และเมื่อถูกถามว่าฝั่งกัมพูชา “ล็อกเป้า” หรือ “หมายหัว” แม่ทัพคนนี้ไว้ เจ้าตัวก็สวนกลับทันควันว่า “ผมก็ล็อกเป้า หมายหัวเขาไว้เหมือนกัน” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาด และไม่ยอมคนของแม่ทัพผู้นี้
เมื่อถูกถามว่า “เหนื่อยกับอะไรมากที่สุด?” คำตอบของ “บิ๊กกุ้ง” ก็ยิ่งตอกย้ำถึงอุดมการณ์ของเจ้าตัว โดยบอกว่า “ไม่เคยเหนื่อย” เพราะหน้าที่ของเขาคือ การปกป้อง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน และสิ่งที่ต้องทำคือ “ไล่ศัตรูออกจากแผ่นดินใหญ่ให้รวดเร็ว”
การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ของ “พล.ท.บุญสิน” จึงเต็มไปด้วยนัยสำคัญที่มากกว่าการจะอำลาตำแหน่ง แต่เป็นการประกาศจุดยืนที่ชัดเจน ถึงอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้
เส้นทางของแม่ทัพผู้แข็งแกร่งคนนี้ จะเป็นอย่างไร คงต้องจับตาดูกันต่อไปอย่างใกล้ชิด
++ “อิ๊งค์”แจง “อยากได้อะไรก็บอก” แค่ตั้งคำถาม ส่วน “แม่ทัพภาค 2 เป็นฝ่ายตรงข้าม” ต้องการแยกปัญหาออกจากบุคคล
เปิดคำชี้แจงของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และรมว.วัฒนธรรม ต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณีคลิปเสียงสนทนากับ “ฮุนเซน” ที่ถูกสมาชิกวุฒิสภา ยื่นคำร้องให้ตรวจสอบคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี
ข้อกล่าวหาหลัก คือ “แพทองธาร” ขาดความซื่อสัตย์สุจริต และฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ในการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี
แต่ “แพทองธาร” ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ โต้แย้งว่า การพูดดังกล่าว ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนแต่อย่างใด ประเทศไทยไม่ได้เสียอะไร และกัมพูชาก็ไม่ได้อะไร
และในการทำคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญล่าสุด ประเด็นที่เป็นข้อกล่าวหาหลัก 2 ข้อ ที่คาใจคนทั้งประเทศ คือคำพูดที่ว่า …“อยากได้อะไรดี ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” กับ “แม่ทัพภาค 2 เป็นฝ่ายตรงข้าม”
ข้อแรก “แพทองธาร” ชี้แจงถ้อยคำที่ว่า “อยากได้อะไรดีให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” ว่า เป็นเพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจา ได้เสนอเงื่อนไข หรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ โดยการใช้เทคนิคสำคัญ คือ การตั้งคำถาม เพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง ในลักษณะไม่โจมตีจุดยืนของคู่เจรจา แต่มุ่งทำความเข้าใจ ความต้องการ ที่อยู่เบื้องหลังมากขึ้น เพื่อจะได้นำมาพิจารณาเจรจาต่อรองเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การยุติความตึงเครียด ที่เกิดขึ้น
“แพทองธาร” บอกว่า ไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณี แต่อย่างใด ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อ “ฮุน เซน” ได้เสนอให้ฝ่ายไทยต้องยอมเปิดด่านก่อน แล้วฝ่ายกัมพูชาจะเปิดด่านหลังจากนั้น ภายใน 5 ชั่วโมง ตนเองก็เสนอกลับไปว่า ให้เปิดด่านพร้อมกัน ซึ่ง ฮุน เซน ไม่ได้ตอบรับ หรือยอมรับในเงื่อนไขดังกล่าว และตนก็ยังไม่ได้มีการตอบรับในเงื่อนไขดังกล่าวของ ฮุน เซน เช่นเดียวกัน
ไทยจึงยังไม่ได้เสียอะไร กัมพูชาก็ยังไม่ได้อะไร
ส่วนถ้อยคำที่กล่าวถึง แม่ทัพภาคที่ 2 (พล.ท.บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น“ฝั่งตรงข้าม” นั้น “แพทองธาร” ชี้แจง ว่า “นายฮวด” คนสนิทของ ฮุน เซน พยายามอธิบายมูลเหตุของการที่ ฮุน เซน สั่งการให้มีการปิดด่านชายแดน ของฝ่ายกัมพูชา เนื่องมาจากความไม่พอใจของ ฮุน เซน ที่มีต่อแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นการเฉพาะเจาะจง
ดังนั้น จึงต้องใช้เทคนิคการเจรจาที่ “แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล” ไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบ หรือแสดงให้เห็นว่า “แม่ทัพภาคที่ 2” เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทย แต่อย่างใด
แต่เมื่อเกิดความเข้าใจผิดขึ้น ตนก็ได้ชี้แจงและกล่าวคำขอโทษต่อแม่ทัพภาคที่ 2 ไปแล้ว และแม่ทัพภาคที่ 2 ก็ยืนยันต่อสาธารณชนว่า ไม่ติดใจคลิปเสียงดังกล่าว และไม่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างนายกรัฐมนตรี กับแม่ทัพภาคที่ 2
การที่ตนกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ในบทสนทนา เกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้รับแจ้งจากฝ่ายความมั่นคง ว่า ทางการกัมพูชา ไม่พอใจการเคลื่อนย้ายกำลังทหารของไทย ณ ช่องบก ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้า ในวันที่ 8 มิถุนายน 2568
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสื่อสาร เพื่อแยกบทบาทฝ่ายบริหาร ออกจากฝ่ายความมั่นคง ซึ่ง “ฮุน เซน” รู้สึกว่า เป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับกัมพูชาในขณะนั้น และเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจ ที่อาจนำไปสู่การเปิดเจรจา ในระดับทางการต่อไปโดยไม่ใช้มาตรการทางทหาร และทางเศรษฐกิจ อันอาจส่งผลกระทบแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ
“แพทองธาร” สรุปในตอนท้ายว่า ความตั้งใจเดียวตลอดการสนทนา ก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ โดยไม่มีเจตนาจะได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตนแต่อย่างใด
ในการสนทนา ไม่มีข้อความตอนใดที่มีการเรียกร้องเอาผลประโยชน์ ให้ตกเป็นของตนเอง หรือครอบครัวแต่อย่างใด หรือได้ถือเอาประโยชน์ส่วนตน เหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ หรือได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี โดยไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
คำชี้แจงของ “แพทองธาร” จะฟังขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลฯ
แต่เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ มีผลต่อรัฐบาลและประเทศชาติ จึงมีนักกฎหมาย ออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างต่อเนื่อง
ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณา คือ นายกฯขาดความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์หรือไม่ คำว่า “ซื่อสัตย์สุจริต” หมายถึง มีความประพฤติไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ไม่ทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการ หรือไม่มีส่วนได้เสียในทางทุจริต ยึดมั่นในหลักสุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ สำหรับตนเอง หรือผู้อื่น
ที่ต้องพิจารณาตีความคือ “แพทองธาร” บอกว่า อังเคิล อยากได้อะไรก็บอกมาได้นั้น ถือว่า “เอื้อผลประโยชน์ให้แก่ต่างชาติ” หรือไม่ แม้จะยังไม่มีผลอะไรออกมา แต่ไปเข้าหลักการของกฎหมายที่ว่า “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” หรือเปล่า?
ส่วนพยานของฝ่ายผู้ถูกร้อง คือ “ฉัตรชัย บางชวด” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ นัดไต่สวนเป็นปากสุดท้าย ก่อนที่จะมีการพิจารณาวินิจฉัย ซึ่งถือว่าเป็นตัวแปรหนึ่งนั้น ก็อยู่ในสถานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ “แพทองธาร” อาจจะถูกมองว่า การเบิกความ เป็นไปในทางพยายามช่วยเหลือกัน ย่อมถือว่ามีน้ำหนักน้อยต่อผลการพิจารณา
โดยสรุปจึงมอว่า “แพทองธาร” รอดยาก
ตอนนี้กลายเป็นว่า เรื่องที่หยิบยกขึ้นมาพูด มาถามกันมาก คือ “แพทองธาร” จะลาออกวันที่เท่าไร ไม่ใช่ผลการตัดสินในวันที่ 29 สิงหาคม จะออกหน้าไหน ?
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO