“รฟท.” ลุ้นอัยการสูงสุดชี้ชะตา “ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน”
“โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก” ซึ่งเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญภายใต้แผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ผ่านพื้นที่ 5 จังหวัด
ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, สมุทรปราการ, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี และระยอง แต่ปัจจุบันทั้ง 2 โครงการยังติดปัญหาการแก้ไขร่างสัญญาร่วมทุน ตลอดจนการเจรจากับเอกชนที่ยังไม่ได้ข้อยุติ
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ความคืบหน้าการแก้ไขร่างสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระหว่างรฟท.และบริษัทเอเชีย เอราวัน จำกัด (ซีพี)
ขณะนี้ได้รับทราบว่าอัยการสูงสุดตอบกลับมาที่รฟท.แล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างรอรับเอกสารอย่างเป็นทางการจากอัยการสูงสุด คาดว่าจะได้รับภายในสัปดาห์นี้
“เราได้มีติดตามความคืบหน้าจากอัยการสูงสุดอย่างต่อเนื่อง หากรฟท.ได้รับเอกสารดังกล่าวแล้ว เบื้องต้นจะนำข้อเสนอแนะในการแก้ไขสัญญาจากอัยการสูงสุดไปหารือกับบริษัทเอกชนคู่สัญญา เพื่อพิจารณาว่าสามารถยอมรับการแก้ไขดังกล่าวได้หรือไม่ หากการหารือกับเอกชนได้ข้อสรุปตามที่อัยการสูงสุดตอบกลับก็ไม่ต้องส่งไปที่อัยการสูงสุด” นายวีริศ กล่าว
ขณะเดียวกันหากทั้งสองฝ่ายสามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ โดยไม่ต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมจากข้อเสนอของอัยการสูงสุด จากนั้นจะส่งร่างสัญญาร่วมลงทุนฉบับแก้ไขฯ ไปยังคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท.รับทราบ
และเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรือบอร์ดอีอีซี พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ตามแผนสกพอ.จะเสนอร่างสัญญาฯดังกล่าวต่อคณะอนุกฎหมายของสกพอ.ภายในวันที่ 13-15 สิงหาคม 2568 และเสนอต่อบอร์ดอีอีซีเห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมทุนได้ภายในวันที่ 18-22 สิงหาคม 2568
ก่อนเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ความเห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมทุนและสามารถลงนามแก้ไขสัญญาภายในเดือนกันยายน 2568
สอดคล้องกับนายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ EEC กล่าวว่า การแก้ไขร่างสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา)
เมื่ออัยการสูงสุดตรวจสอบร่างสัญญาแล้วเสร็จจะส่งกลับมาที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) พิจารณา เนื่องจากเป็นคู่สัญญาของเอกชน คาดว่าอัยการสูงสุดตอบกลับภายในสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ดีตามขั้นตอน รฟท. จะนำความเห็นดังกล่าวของอัยการสูงสุดไปหารือร่วมกับเอกชนคู่สัญญา หากได้ข้อสรุปที่ทุกฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน
ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรือบอร์ดอีอีซี พิจารณาเพื่อขออนุมัติภายในเดือนสิงหาคมนี้ ก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบต่อไป
"ส่วนการลงนามเซ็นสัญญาจะเริ่มได้เมื่อไหร่ขึ้นอยู่กับการนัดหมายระหว่าง รฟท. และเอกชน ซึ่งทางอีอีซีจะเข้าร่วมเป็นพยานในพิธีลงนามหรือไม่นั้น คงต้องรอให้ทางคูสัญญาเป็นคนเชิญ เพราะตามกฎหมายเราไม่ได้เป็นคู่สัญญาโดยตรง" นายจุฬา กล่าว
นายจุฬา กล่าวต่อว่า ขณะที่ความคืบหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก วงเงินลงทุนรวมประมาณ 290,000 ล้านบาท หลังจากบอร์ดอีอีซีรับทราบปัญหาอุปสรรค และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
หลังการลงนามสัญญาร่วมทุน โครงการดังกล่าว โดยมอบหมายให้ สกพอ.เจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคทั้งหมดบนพื้นฐานความสมเหตุสมผล เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการฯ และเกิดการลงทุนได้จริงนั้น
ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือ UTA โดยเฉพาะในประเด็นการขอขยายระยะเวลาในการเริ่มงานก่อสร้างออกไปจนถึงกลางเดือนสิงหาคมนี้
เพราะที่ผ่านมายังติดเรื่องไฮสปีด 3 สนามบิน จากเดิมที่กำหนดออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (NTP) ในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 รวมถึงการปรับลดขนาดการลงทุนของโครงการฯ
"เรื่องการเจรจาในโครงการนี้ต้องใช้เวลา ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการปกติของการบริหารสัญญา เพราะต้องหาข้อตกลงร่วมกันให้ได้ทั้งสองฝ่าย ซึ่งเราก็พยายามเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด" นายจุฬา กล่าว
อย่างไรก็ดีตามกระบวนการหากการเจรจาร่วมกับเอกชนในโครงการสนามบินอู่ตะเภาฯได้ข้อยุติจะต้องรายงานต่อบอร์ดอีอีซีพิจารณาถึงความคืบหน้าการดำเนินงานด้วย แต่หากมีการแก้ไขสัญญาจะต้องนำเสนอต่อครม.เห็นชอบเพิ่มเติมเช่นกัน
นอกจากนี้ในประเด็นที่เอกชนได้ส่งหนังสือมาถึงอีอีซี ไม่ขอให้ขยายเวลาส่งมอบหนังสือให้เริ่มงาน (NTP) เกินไปจากวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา รวมถึงจะใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายจากการดำเนินโครงการล่าช้าเป็นวงเงิน 5,099 ล้านบาทนั้น
เรื่องนี้ทาง UTA ไม่ได้ยื่นหนังสือเรียกค่าเสียหาย แต่เป็นการส่งหนังสือแจงรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในโครงการฯแล้วบางส่วน ซึ่งไม่ได้มีการบอกเลิกสัญญาตามที่เป็นข่าว