สินค้า “เอเชีย -จีน” ทะลักยุโรป ขนส่งทางเรือพุ่ง
หลังจากสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีตอบโต้จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ส่งผลให้การขนส่งสินค้าระหว่างภูมิภาคเริ่มได้รับผลกระทบ บางช่วงต้องเร่งขนส่งเพื่อหนีภาษี บางช่วงต้องชะลอการขนส่งหลังจากภาษีมีผล
วันนี้พาไปดูผลการดำเนินการท่าเรือสำคัญในยุโรปช่วงนี้ จากหนังสือพิมพ์ธุรกิจและการเงิน Handelsblatt ของเยอรมนี โดยมีการอ้างอิงผลการศึกษาของ Everstream บริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงชื่อดัง
ท่าเรือแรกที่อยากเอ่ยถึง คือ “ท่าเรือเมืองรอตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์” เป็นท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและเป็นหนึ่งในท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดในโดย ท่าเรือแห่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเชื่อมต่อการขนส่งทางทะเลกับการขนส่งทางแม่น้ำไรน์ โดยมีรายงานจากท่าเรือเมืองรอตเตอร์ดัมว่า “ปริมาณการขนส่งผ่านสินค้าผ่านเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ลดลงถึง 23.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า”
ผู้อำนวยการสำนักงานการท่าเรือ เมืองรอตเตอร์ดัม ระบุว่า การค้าโลกในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มีความผันผวนสูงมาก ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกา โดยความผันผวนนี้ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในมิติการค้าและการลงทุน ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านปริมาณของกระบวนการขนส่งสินค้า
“ส่วนท่าเรือฮัมบูร์ก เป็นท่าเรือหลักของเยอรมนี” ก็กำลังได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ เช่นกัน โดยโฆษกท่าเรือเปิดเผยว่า ช่วงปลายปีที่ผ่านมาคลังสินค้าหลายแห่งในสหรัฐฯ มีสินค้าเต็มจนแทบจะล้นคลัง ทำให้ปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จากท่าเรือในฮัมบูร์กไปยังสหรัฐฯ ลดลง “โดยพบว่าปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน (TEU) สู่สหรัฐฯ อยู่ที่ 145,000 ตู้ ลดลงถึง 19%”
สถานการณ์ของ 2 ท่าเรือข้างต้นแตกต่างจากท่าเรือเมืองแอนต์เวิร์ปในเบลเยียม ซึ่งเป็นท่าเรือที่สำคัญที่สุดในการเชื่อมต่อระหว่างสหรัฐอเมริกากับยุโรป พบว่า ยังคงมีปริมาณการขนส่งไปยังสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น
ผู้บริหารท่าเรือแอนต์เวิร์ป ในเบลเยียม วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ขนส่งสินค้าทางเรือว่า การขนส่งสินค้ากำลังเกิดภาวะหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) รถยนต์ไฟฟ้า ยา เหล็กกล้า โดยหนึ่งในผลกระทบที่น่าตกใจที่สุดในปัจจุบัน คือ ปริมาณการนำเข้าสินค้าจากจีนมาตลาดยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าสหภาพยุโรป (EU) จะเรียกร้องให้เศรษฐกิจของทวีปนี้เป็นอิสระจากจีนมากขึ้น
ถ้าดูสินค้าที่ขนส่งจากจีนมายุโรป พบว่า “ที่ท่าเรือฮัมบูร์ก ของเยอรมนี ปริมาณสินค้าจากจีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี เพิ่มขึ้น 11.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือคิดเป็น 597,000 TEU ในไตรมาสแรก”
ส่วน ปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์จากเอเชียไปยังท่าเรือเมืองรอตเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ก็เพิ่มขึ้น 8.4% การที่มีการนำเข้าสูงขึ้นจากเอเชียรวมถึงจีน เป็นเพราะมีการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้น โดยตรงนี้ถือเป็นการยืนยันสถานการณที่ผู้ผลิตในยุโรปกังวลมานาน เนื่องจากจีนไม่สามารถขายสินค้าในสหรัฐฯ ได้อีกต่อไป เนื่องจากอุปสรรคด้านภาษีศุลกากรที่สูง แต่การผลิตในจีนยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุด ทำให้ผลผลิตจำนวนมหาศาลจึงทะลักเข้ามายังสหภาพยุโรป ซึ่งมีข้อสันนิษฐานว่า ราคาสินค้าจากหน้าโรงงานในจีนน่าลดลงอย่างหนัก เพื่อบุกตลาดอื่นๆ โดยกลยุทธ์ของจีนลักษณฑนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เป็นกลยุทธ์ที่สร้างความสำเร็จมาอย่างยาวนานสำหรับบริษัทจีน
แม้จีนส่งออกมายังยุโรปมากขึ้น แต่จีนก็กำลังเผชิญกับการแข่งขันจากประเทศในเอเชียด้วยเช่นกัน
มีรายงานว่า “ในช่วงฤดูไม้ผลิเพียงไตรมาสเดียวมีตู้คอนเทนเนอร์จากมาเลเซีย 54,000 ตู้ ที่ถูกส่งมายังท่าเรือฮัมบูร์ก ซึ่งเพิ่มขึ้น 50.6% จากปีก่อนหน้า ส่วนปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์กับอินเดียเพิ่มขึ้น 39.6% เป็น 60,000 ตู้”
แม้ว่าปริมาณสินค้าเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเมื่อสองปีก่อนบริษัทขนส่งอย่าง Hapag-Lloyd ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองฮัมบูร์กได้เข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทผู้ให้บริการท่าเทียบเรือแห่งหนึ่งในอินเดียจึงทำให้ปริมาณการขนส่งจากอินเดียมายังท่าเรือแห่งนี้เพิ่มขึ้น
แต่ถ้าดูปริมาณตู้ขนส่งจากมาเลเซียที่เพิ่มขึ้น สะท้อนว่า ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย พยายามแข่งขันส่งสินค้ามายังยุโรป เพื่อลดผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง