ตลท. เร่งเครื่อง ดึงบริษัทต่างชาติเข้าจดทะเบียน เสริมแกร่งตลาดหุ้นไทย
ตลท. เดินหน้าแผนเพิ่มหุ้นขนาดใหญ่เข้าตลาด เตรียมเชื่อมโยงกับ BOI เพื่อดึงบริษัทต่างชาติศักยภาพสูง รวมถึงศึกษาแนวทางให้บริษัทแม่จากต่างประเทศมาจดทะเบียนควบ พร้อมผ่อนปรนกฎเกณฑ์ให้บริษัทต่างชาติเข้าตลาดได้ง่ายขึ้น เพื่อเพิ่มทางเลือกและสร้างความน่าสนใจให้กับนักลงทุน
วันที่ 27 สิงหาคม 2568นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยภายหลังงาน Thailand Focus 2025 ว่า การจัดงานในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งมีสถาบันการลงทุนชั้นนำจากทั่วโลกกว่า 75 สถาบันเข้าร่วม โดยส่วนใหญ่มาจากสิงคโปร์และฮ่องกง ซึ่งเป็นศูนย์กลางกองทุนระดับโลก ขณะที่บางส่วนเป็นบริษัทแม่จากสหรัฐฯ ที่มีสำนักงานในเอเชียเข้าร่วมด้วย
โดยนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจขอเข้าพบกับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่เข้าร่วมงานอย่างหลากหลาย ตั้งแต่หุ้นในกลุ่ม SET50, SET100 ไปจนถึงกลุ่ม MAI โดยส่วนใหญ่เป็นการนัดประชุมแบบตัวต่อตัว (one-on-one meeting) ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญอย่างมาก นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง เพื่อความสะดวกในการเข้าออกจากการลงทุน
ทั้งนี้ตลท. ยังมีแนวทางใหม่ในการนำบริษัทต่างชาติที่มีศักยภาพเข้ามาจดทะเบียนในไทย โดยการเชื่อมโยงกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รวมถึงการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำบริษัทแม่ในต่างประเทศมาจดทะเบียนควบ (Dual Listing) เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนด้วย
ปัจจุบันมีบริษัทหลายแห่งที่สนใจและได้ยื่นคำขอเสนอขาย IPO แล้ว แต่ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและความเหมาะสมของราคาที่แต่ละบริษัทตั้งเป้าหมายไว้ โดยกำลังพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ เพื่อให้กระบวนการจดทะเบียนง่ายขึ้น โดยเฉพาะสำหรับบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทย จะดึงเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพยฯ โดยต้องมีการพูดคุยกับก.ล.ต. เพื่อให้การเข้าจดทะเบียนสะดวกมากขึ้น เนื่องจากบางบริษัทที่เข้ามาลงทุนมีบริษัทแม่ที่แข็งแกร่งระดับโลกอยู่แล้ว
ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยจะซบเซา แต่นักลงทุนต่างชาติยังคงจับตามองเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด และไทยยังคงเป็นเศรษฐกิจที่สำคัญและมีขนาดใหญ่ในอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ Valuation หรือมูลค่าหุ้นที่น่าสนใจ และ Dividend Yield หรือผลตอบแทนจากเงินปันผลที่จูงใจ รวมถึงความไม่แน่นอนในหลายประเด็นที่ค่อย ๆ คลี่คลายลง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน หลังจากที่ได้เข้ามาพูดคุยและรับฟังข้อมูลเชิงลึกในงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถหาได้จากการอ่านบทวิเคราะห์เพียงอย่างเดียว
นายอัสสเดช กล่าวว่า ด้านการเมืองและความไม่แน่นอน ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับนักลงทุนต่างชาติ เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับความผันผวนทางการเมืองของไทยมาเป็นระยะ และไม่ได้มองเป็นปัจจัยเชิงลบที่น่าตกใจเหมือนในอดีต อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายยังคงหวังว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในอนาคต
ในส่วนของการเพิ่มหุ้นขนาดใหญ่เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับตลาด มีบริษัทที่ยื่นคำขอเสนอขายหุ้น (Filing) อยู่ในกระบวนการประมาณ 30 บริษัท และยังคงมีบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเข้าตลาด โดยคำนึงถึงปัจจัยด้าน Valuation เป็นสำคัญ