ไทยรอดภาษีทรัมป์ ลดเหลือ 19% – นักวิเคราะห์เตือนยังเสี่ยงก๊อกสอง-ขีดแข่งเพื่อนบ้านไม่ต่าง
มุมมองนักวิเคราะห์
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) มองว่า อัตราภาษี 19% เป็นระดับที่น่าพอใจและช่วยรักษาความน่าสนใจของไทยในการดึงดูดการลงทุน หากยังคงที่ 36% อาจทำให้การลงทุนต่างชาติหายไปเกือบทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายยังสงสัยว่าไทยต้องแลกอะไรกับการได้สิทธิพิเศษนี้ ซึ่งอาจไม่ถึงขั้นเปิดตลาดเต็มรูปแบบเหมือนเวียดนาม แต่ยังต้องติดตามผลกระทบระยะสั้นและยาวต่ออุตสาหกรรมและการลงทุนไทย
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ระบุว่า แม้จะดีกว่าการถูกเก็บ 36% แต่ภาษี 19% ยังคงสูงขึ้นจากเดิม 0–10% อีกทั้งยังมีประเด็น Transshipment Rate ที่สหรัฐฯ จับตา หากพบการส่งออกผ่านประเทศที่สามผิดปกติอาจถูกใช้เป็นเหตุเพิ่มมาตรการทางภาษีเพิ่มเติมได้
ชยนนท์ รักกาญจนันท์ CEO และผู้ร่วมก่อตั้งฟินโนมีนา เปิดเผยว่า ไทยได้เจรจายกเลิกภาษีนำเข้าสูงสุดถึง 90% ของรายการสินค้าสหรัฐฯ พร้อมสัญญาลดการขาดดุลการค้ากว่า 46,000 ล้านบาทใน 3 ปี เพื่อให้สมดุลขึ้น จึงมองว่าภาษี 19% ถือว่าดี แต่ยังต้องระวังความซับซ้อนในการจัดเก็บและการชำระภาษี หากทำผิดอาจโดนค่าปรับเพิ่มขึ้น และเพื่อรักษาความสามารถแข่งขัน ไทยอาจต้องบริหารค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลงถึงระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์
ข้อได้เปรียบ–เสียเปรียบ
บริษัทหลักทรัพย์ InnovestX วิเคราะห์ว่า แม้การลดภาษีครั้งนี้ดีกว่าคาด แต่ไทยยังไม่ได้เปรียบชัดเจนเมื่อเทียบกับเวียดนาม (20%) และกัมพูชา (19%) ขณะที่สิงคโปร์ได้เปรียบกว่าด้วยอัตราเพียง 10% อีกทั้งไทยยังเสียเปรียบด้านต้นทุนแรงงานและขีดความสามารถการผลิตต่อเนื่อง
การได้รับอัตราภาษีที่ต่ำลงนี้มักมาพร้อมเงื่อนไขด้านโครงสร้าง เช่น การลดการอุดหนุนภายในประเทศ เปิดเสรีบริการ หรือยอมรับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและแรงงานที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งอาจอยู่ในข้อตกลงที่ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ
บางกลุ่มสินค้าส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอาหารแปรรูป ยังมีโอกาสขยายตลาดสหรัฐฯ แต่ต้องเผชิญมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) เช่น กฎถิ่นกำเนิดสินค้าและมาตรฐานการตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนให้ผู้ส่งออก
การลดภาษีจาก 36% เหลือ 19% ถือเป็น buffer ทางยุทธศาสตร์ ที่ช่วยให้ผู้ส่งออกไทยหายใจโล่งขึ้นในระยะสั้น แต่ยังไม่ใช่ชัยชนะด้านขีดความสามารถการแข่งขันอย่างแท้จริง หากไทยไม่เร่งปรับโครงสร้างการผลิตและห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ความได้เปรียบนี้อาจถูกลดทอนลงในอนาคต