ไทยรบเขมรเสียหาย 17,000 ล้าน หวั่นสินค้าจีนตีตลาดแทนที่ไทย
ไทย รบ เขมร กระทบการค้า-ลงทุนเสียหายไปแล้วเดือนละ 17,000 ล้านบาท โรงแรม 4 จังหวัดอีสานใต้เงียบสนิท ลูกค้ายกเลิกการจอง ด่านอรัญประเทศยังปิดถาวร พร้อมสำรวจแบรนด์ดังสินค้าไทย “เครื่องดื่ม-ค้าปลีก” ในตลาดกัมพูชาหยุดทำการตลาด หวั่นสินค้าจีน-เวียดนามทะลักเข้าแทนที่ โรงงานการ์เมนต์ริมขอบชายแดนปอยเปตเพิ่งกลับมาเปิดหลังหยุดยิง อนาคตยังไม่แน่ วอน 2 ฝ่ายเร่งแก้ปัญหาเพื่อให้ธุรกิจเดินต่อไปได้
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวถึงผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในเชิงเศรษฐกิจภาพรวม “อาจจะไม่ได้กระทบมาก” เพราะการส่งออกจากไทยไปกัมพูชาทั้งหมดมีสัดส่วนแค่ 3% ของการส่งออกไทยทั้งหมด แต่อาจจะกระทบในระดับธุรกิจที่บางบริษัทมีการทำธุรกิจในกัมพูชา ที่ยอดขายจะได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ดี ต้องดูว่ากรณีนี้จะทำให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนใจไม่มาเที่ยวเมืองไทยยาวนานแค่ไหน ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มเห็นการยกเลิกจองโรงแรมกันแล้ว “ผมคุยกับบางโรงแรม เขาบอกว่าพวกกรุ๊ปที่จะจัดสัมมนาจากยุโรป-สหรัฐ เขายกเลิกเลย ดังนั้น ตรงนี้เห็นผลกระทบจริง ๆ แต่ก็คงระยะสั้น หากไม่ลากยาวก็คงไม่เป็นไร” ดร.พิพัฒน์กล่าว
ด้านศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย กล่าวถึงการประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา จะส่งผลกระทบผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ การค้าชายแดน การท่องเที่ยว และการลงทุน ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าความเสียหายอย่างน้อยราว 17,000 ล้านบาทต่อเดือน ดังนี้
1) การค้าชายแดน คาดว่าการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา 5 ด่านสำคัญจะทำให้มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา หายไปราว 14,011 ล้านบาทต่อเดือน แบ่งเป็น มูลค่าการส่งออกชายแดนและมูลค่าการนำเข้าชายแดนหายไปราว 11,410 และ 2,601 ล้านบาทต่อเดือน ตามลำดับโดย “ด่านอรัญประเทศ” จ.สระแก้ว คาดได้รับผลกระทบมากที่สุด สำหรับกลุ่มสินค้าส่งออกที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่ม ส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ และเครื่องยนต์สันดาปภายใน ส่วนกลุ่มสินค้านำเข้า ได้แก่ ผักและของปรุงแต่งจากผัก โดยเฉพาะมันสำปะหลัง
2) การท่องเที่ยว ความเสียหายด้านการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวกัมพูชาที่เข้ามาในไทยที่ลดลง และจากนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่ไม่สามารถไปท่องเที่ยวใน 4 จังหวัดที่มีการปะทะ คาดมีมูลค่าอย่างน้อยราว 2,970 ล้านบาทต่อเดือน และ 3) การลงทุน หากสถานการณ์ยกระดับความรุนแรงและขยายวงกว้างขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่เข้าไปทำธุรกิจในกัมพูชา โดยในปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 100 ราย มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 50,000 ล้านบาท โดยธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบสูง เช่น ธุรกิจเครื่องดื่มและค้าปลีก
ทั้งนี้ ในระยะสั้น ผู้ประกอบการนำเข้าส่งออกอาจพิจารณาเปลี่ยนเส้นทางและรูปแบบ (Mode) ในการขนส่งสินค้า ส่วนในระยะถัดไป อาจพิจารณาหาตลาดเพื่อทดแทนหรือกระจายความเสี่ยงจากตลาดกัมพูชา
สินค้าจีนตีตลาดแทนที่ไทย
นายวิชิต คุณคงคาพันธ์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจตลาดต่างประเทศ (ทีม Bridge) บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า บริษัทมีลูกค้าแบรนด์ไทยในกัมพูชา 5 ราย อยู่ในธุรกิจเครื่องดื่ม ก่อสร้าง และค้าปลีก ซึ่งต่างก็หยุดการใช้งบฯโฆษณาและการตลาด ไม่ว่าจะเป็นการเผยแพร่คอนเทนต์ของไทยและการใช้สื่อ เหลือเพียงการขายสินค้าตามปกติ โดยเริ่มมาตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุเมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ในช่วงแรกเป็นการชะลอออกไป 1 เดือน
แต่ปัจจุบันทุกรายระงับการใช้งบฯแบบไม่มีกำหนด พร้อมกับเริ่มหารือเกี่ยวกับการปรับแนวทางทำตลาดหลังจากนี้เพื่อรับมือกับสถานการณ์ ขณะเดียวกันหากสถานการณ์นี้ดำเนินต่อไปอาจเป็นช่องว่างให้แบรนด์คู่แข่งจาก “เวียดนาม และจีน” เข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ไทยได้ เนื่องจากเริ่มเห็นการกระจายสินค้าเวียดนามและจีนเพิ่มขึ้นในตลาดกัมพูชาบ้างแล้ว
การ์เมนต์กลับมาเปิดหลังหยุดยิง
นายยศธน กิจกุศล นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย กล่าวว่า สมาคมได้มีการติดตามเอกชนไทยที่ไปลงทุนอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มในกัมพูชา โดยเฉพาะในบริเวณ “ปอยเปต” ซึ่งมีอยู่ประมาณ 3-4 ราย โดยตอนนี้โรงงานได้มีการกลับมาผลิตสินค้าอีกครั้งประมาณ 60-70% หลังสถานการณ์การหยุดยิงสงบลง แต่ยอมรับว่าช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่มีการปะทะกันรุนแรงระหว่างทหารไทย-กัมพูชา โรงงานที่อยู่บริเวณชายแดน “หยุดการผลิตทันที” เนื่องจากสถานการณ์ยังน่ากังวลมาก แต่ตอนนี้กลับมาผลิตแล้ว แม้จะไม่ 100% ก็ตาม
“เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายมีการหยุดยิง สถานการณ์เริ่มผ่อนคลาย โรงงานได้กลับมาผลิตสินค้าอีกครั้ง โดยแรงงานที่กลับเข้ามาในโรงงาน ส่วนใหญ่ยังเป็นแรงงานกัมพูชา ซึ่งมีสัดส่วน 80-90% ของแรงงานทั้งหมด ส่วนแรงงานที่เป็นคนไทยนั้นมีจำนวนน้อยและบางส่วนได้มีการส่งกลับประเทศไปแล้ว และมองว่าการกลับเข้าไปในกัมพูชาอาจจะไม่ได้สะดวกแล้ว” นายยศธนกล่าว
ส่วนสถานการณ์คำสั่งซื้อและการขนส่งสินค้าในระยะสั้นนี้ “ยังคงสามารถส่งสินค้าและนำเข้าวัตถุดิบจากเมืองไทยได้” โดยวัตถุดิบยังไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลน เพราะตอนนี้ 100% นักลงทุนไทยที่ลงทุนที่กัมพูชา มีการขนส่งวัตถุดิบ และส่งออกสินค้ากลับมาที่ประเทศไทย ส่วนใหญ่ขนส่งทางเรือทั้งหมด การขนส่งทางบกในตอนนี้ไม่มีเลย
ส่วนผลกระทบในระยะยาวจะมีการปิดโรงงานหรือไม่ “ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนในตอนนี้” แต่หากสถานการณ์ยังคงมีความขัดแย้ง ยืดเยื้อ ภาคเอกชนที่ลงทุนตามแนวชายแดนก็จะมีความกังวล ดังนั้นจึงอยากให้แก้ไขปัญหาได้โดยเร็ว และให้สถานการณ์กลับมาปกติอีกครั้งเพื่อยังคงสามารถทำธุรกิจต่อไปได้
ปตท.เขมรขอไปต่อ
แหล่งข่าวจากบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า ตั้งแต่ที่มีเหตุการณ์ปะทะที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา บริษัทได้มีการประสานและเรียกให้พนักงานที่เป็นคนไทยประจำที่อยู่ในฝั่งกัมพูชาทั้งหมด จำนวน 11 คนกลับประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่อความปลอดภัย ส่วนสถานีบริการน้ำมัน ร้านคาเฟ่อเมซอน ในกัมพูชานั้น “ปัจจุบันยังคงเปิดให้บริการตามปกติ” ขณะที่สถานีบริการปั๊มน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่อยู่ฝั่งไทยได้ขยายการปิดการให้บริการชั่วคราว ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 จำนวน 10 แห่ง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ได้แก่ บุรีรัมย์, ศรีสะเกษ, สุรินทร์ และอุบลราชธานี
นายรังสรรค์ พวงปราง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงินและความยั่งยืน บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กล่าวว่า บริษัทไม่มีการขนส่งน้ำมันหรือดำเนินธุรกิจในประเทศกัมพูชา จึงไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ขณะที่ธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน PT station พื้นที่จังหวัดชายแดนอาจจะกระทบยอดขายเล็กน้อยจากสถานการณ์ในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน (1 สิงหาคม 2568) บริษัทได้ปิดสถานีบริการน้ำมันชั่วคราวรวมทั้งสิ้น 3 สถานี ได้แก่ สาขาพนมดงรัก จ.สุรินทร์, สาขาน้ำยืน 1 และสาขาน้ำยืน 2 จ.อุบลราชธานี เพื่อความปลอดภัยของพนักงาน
จัดมหกรรมค้าชายแดน
ด้านนางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า กรมมีนโยบายช่วยเหลือผู้ประกอบการและกำหนดมาตรการส่งเสริมการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่เริ่มเกิดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งได้กำหนดแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ดังนี้ 1) การประสานงานฝ่ายความมั่นคงและสำนักงานพาณิชย์จังหวัด รวมทั้งสภาธุรกิจเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อมูลผลกระทบด้านการขนส่งในเส้นทางชายแดนด้านกัมพูชา รวมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลค่าใช้จ่าย/ระยะเวลาในเส้นทางขนส่งที่เป็นทางเลือก
2) เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 มีการจัดประชุมหารือกับภาคเอกชนที่จังหวัดสระแก้ว เพื่อรับฟังผลกระทบและข้อเรียกร้องของเอกชนในจังหวัดชายแดนด้านกัมพูชา 3) การจัดมหกรรมการค้าชายแดนที่จังหวัดหนองคาย และเชียงใหม่ ในช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม 2568 และมีแผนจะจัดกิจกรรมดังกล่าวอีก 1 ครั้งที่ภาคใต้ บริเวณหน้าวัดมงคลมิ่งเมือง หัวสะพานตายาย อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ระหว่างวันที่ 7-10 สิงหาคม 2568
และ 4) ตั้งแต่เดือนกันยายน 2568 มีแผนการลงพื้นที่ประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคการค้าการลงทุนชายแดน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา และมีแผนการจัดมหกรรมการค้าชายแดนต่อเนื่องอีก 6 ครั้ง
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ไทยรบเขมรเสียหาย 17,000 ล้าน หวั่นสินค้าจีนตีตลาดแทนที่ไทย
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net