คลัง เผยเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ทุบเศรษฐกิจเสียหายกว่าหมื่นล้าน
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สถานการณ์การปะทะในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ โดยเฉพาะในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งด้านการค้า การลงทุน และความเชื่อมั่นของประชาชน โดยขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินผลกระทบอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาความยืดเยื้อของสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม หากประเมินเบื้องต้นจากช่วงที่เริ่มมีการโยกย้ายประชาชน ซึ่งกินเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ความเสียหายน่าจะอยู่ที่ราว 10,000 ล้านบาท โดยยังไม่รวมมูลค่าความเสียหายทางการค้าชายแดน
“ความเสียหายเบื้องต้นประเมินไว้กว่า 10,000 ล้านบาท โดยไม่รวมผลกระทบทางการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา และจิตวิทยาเศรษฐกิจ ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นอีกหากสถานการณ์ยืดเยื้อ”
แม้สถานการณ์ในบางพื้นที่เริ่มผ่อนคลาย แต่การหยุดยิงอย่างสมบูรณ์ยังเป็นเรื่องยาก เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีกองกำลังจำนวนมาก ซึ่งอาจยังมีเหตุการณ์แทรกซ้อนเป็นระยะ เพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชน กระทรวงการคลังได้ดำเนินมาตรการบรรเทาความเดือดร้อน ครอบคลุม 3 ด้าน ได้แก่ มาตรการในระดับพื้นที่ มาตรการภาษี และมาตราการจากสถาบันการเงิน
1.ขยายวงเงินกองทุนทดลองราชการอีก 100 ล้านบาท เร่งจัดซื้อจัดจ้างในพื้นที่ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก รวมถึงการสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านธนาคารของรัฐอย่าง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร
2. ยังมีมาตรการทางภาษี เช่น การขยายเวลายื่นแบบภาษีถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 และการหักลดหย่อนภาษีจากค่าซ่อมแซมบ้านที่เสียหายสูงสุด 100,000 บาท และรถยนต์ไม่เกิน 30,000 บาท
3.มาตรการฟื้นฟูจากสถาบันการเงินของรัฐ
นายพิชัยระบุด้วยว่า งบกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังเหลือจากรอบก่อนมีอยู่ประมาณ 42,000 ล้านบาท แต่จำเป็นต้องดึงมาใช้เพิ่มอีกประมาณ 10,000 กว่าล้านบาท เหลืออีก 25,000 บาท แต่เมื่อเกิดเหตุปะทะเกิดขึ้น จึงจะรวมงบประมาณที่เหลือ ซึ่งถือว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย และเพื่อใช้ในมาตรการเยียวยา หรือฟื้นฟูบ้านเรื่องที่ได้รับผลกระทบเร่งด่วน ซึ่งหากไม่เพียงพอ อาจต้องขอใช้งบจากแหล่งอื่นเพิ่มเติม โดยขณะนี้ยังไม่มีแผนการกู้เงินเพิ่มเพิ่ม ยืนยันว่าการใช้งบประมาณยังอยู่ในกรอบวินัยการคลังเดิม การกู้ยังเป็นไปตามแผนงบประมาณที่วางไว้
"เรื่องแบบนี้กระทบความเชื่อมั่นแน่นอน ไม่ใช่แค่ไทย ทั่วโลกก็เป็นแบบนี้ หากยังมีเหตุปะทะต่อเนื่อง การฟื้นตัวจะช้าลง เราจึงต้องเร่งฟื้นความมั่นใจประชาชนและภาคธุรกิจในทันที"
ส่วนความคืบหน้า การเจรจาภาษีนำเข้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ มีความคืบหน้ากว่า 99.99% โดยไทยได้ยื่นข้อเสนอและปรับเงื่อนไขไปเกือบทั้งหมด เหลือเพียงร่างสัญญาที่ยังไม่จำเป็นต้องเร่งสรุป
ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ เคยขอหยุดการเจรจาชั่วคราวช่วงเกิดเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา แต่เมื่อมีการเจรจาหยุดยิง สหรัฐฯ ก็กลับมาเดินหน้าเจรจาต่อทันที โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยยังคงเดินหน้าทำงานต่อเนื่อง
พิชัยระบุว่า ท่าทีของสหรัฐฯ หลังรับข้อเสนอของไทยดูเป็นบวก และคาดว่าการตัดสินใจสุดท้ายจะเป็นไปในทางที่ดี พร้อมย้ำว่าไม่อยากเห็นไทยถูกเก็บภาษีในอัตรา 25% แม้ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียจะได้อัตราเพียง 19% แต่เชื่อว่าข้อเสนอของไทยเป็นธรรมและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย
“ถ้ายังมีการยิงกันต่อไป สหรัฐฯ ก็อาจหยุดเจรจาอีก แต่ตอนนี้ทุกฝ่ายตกลงกันแล้ว ก็หวังว่าสถานการณ์จะผ่อนคลายและมีความจริงใจต่อกัน” นายพิชัยกล่าว พร้อมระบุว่า เหลือเวลาอีก 3 วันก่อนถึงเส้นตาย 1 สิงหาคม และเป็นช่วงที่ต้องลุ้นผลการพิจารณาครั้งสำคัญ