ชาวนาลุ้นต่อครม.เคาะแจกไร่ละ1,000 พยุงสถานการณ์ราคาข้าวเปลือกตกต่ำ
ไทยจึงอยู่ตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับต้นๆของโลก แต่ไทยก็ยังไม่สามารถจัดการสถานการณ์ตลาดโลกได้เพราะมีรายใหญ่กว่ามากอย่างอินเดีย ที่มีข้าวเต็มสต๊อกทำให้ปี 2568 นี้ไม่ใช่จังหวะทองของการค้าข้าวโลก สถานการณ์ตลาดจึงเป็นสมรภูมิสงครามราคาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนราคาข้าวเปลือกที่เป็นรายได้คนไทยกว่า 18 ล้านคนก็ต้องลดลงตามไปด้วย
ราคาส่งออกข้าว (เอฟโอบี) ณ วันที่ 13 ส.ค. 2568 จากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ข้าวหอมมะลิไทยชนิดพิเศษ (67/68) ต้นละ 1,087 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 30 ก.ค.2568 ซึ่งอยู่ที่ตันละ 1,076 ดอลลาร์ ข้าวสาร 5% ตันละ 378 ดอลลาร์ ลดลงจาก 387 ดอลลาร์ ข้าวนึ่ง 100% ชนิดพิเศษ ตันละ 391 ดอลลาร์ ลดลงจาก 402 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม หากเทียบราคาข้าวไทยกับผู้ส่งออกรายอื่นๆจะพบว่า ข้าวไทยมีราคาสูงกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ โดยกลุ่มข้าวหอมมะลิ อินเดียตันละ 860 ดอลลาร์ เวียดนาม 555-559 ดอลลาร์ ยกเว้นปากีสถาน ที่ตันละ 1,120 ดอลลาร์ กลุ่มข้าวขาว เวียดนามตันละ 395-399 ดอลลาร์ อินเด่ีย ตันละ 375-379 ดอลลาร์ และกลุ่มข้าวนึ่ง อินเดียและปากีสถานอยู่ที่ ตันละ 368-372
ราคาข้าวเปลือกยังร่วงต่อ
เมื่อราคาส่งออกข้าวกำลังอยู่ในช่วงขาลง ย่อมส่งผลต่อเนื่องมาถึงราคาข้าวเปลือกในประเทศ โดย ราคา ณ วันที่ 13 ส.ค.2568 จากสมาคมโรงสีข้าวไทย ข้าวเปลือกเจ้า(ความชื้น15%) จังหวัดอยุธยา ตันละ6,300 -6,700 บาท ลดลงจากสัปดาห์ก่อน (6 ส.ค.2568) ตันละ 6,600-7,000 บาท ส่วนข้าวหอมมะลิไม่มีผลผลิต
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวของเกษตรกรปลูกข้าวปีการผลิต 2568/69และนาปรังปีการผลิต 2568โดยจะจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาทไม่เกิน 10 ไร่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาต้นทุนการผลิตสูงและราคาข้าวที่ตกต่ำ
คาดว่า เกษตรกรที่ทำนาปรังจะได้รับเงินเร็วที่สุดภายในเดือนก.ย. 2568 ส่วนเกษตรกรที่ทำนาปีจะได้รับในช่วงปลายปี2568 หรือต้นปีงบประมาณ 2569 โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือชาวนาที่ลงทะเบียนทำนาปี 4.6 ล้านครัวเรือน วงเงิน 37,900 ล้านบาท และนาปรัง 8.5 แสนครัวเรือน วงเงิน 7,200 ล้านบาท รวมวงเงินทั้งสิ้น45,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ที่ประชุมพิจารณาจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ราคาข้าวในอินเดียที่ลดลงอย่างมาก รวมถึงภาระหนี้สินของชาวนาที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนการผลิตสูงแต่ราคาขายข้าวกลับตกต่ำลง
ลั่นปีหน้าไร้แผนแจกเงินอีก
“กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นปัญหาเดียวกัน จึงเป็นที่มาของการแจกเงินวันนี้พร้อมย้ำว่ารัฐบาลไม่เห็นด้วยกับการอุดหนุนในระยะยาว และต้องการให้ชาวนารวยได้ด้วยตนเอง"
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เสนอเงื่อนไขใหม่ 2 ประการ คือ 1.รัฐบาลจะไม่สนับสนุนการปลูกข้าวพันธุ์ที่ใช้ไม่ได้ 2.ในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวจะส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน โดยจะให้เวลาในการปรับตัว และยืนยันว่าปีหน้าจะไม่มีการแจกเงินในลักษณะนี้อีกแล้วโดยแผนทั้งหมดจะถูกนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาต่อไป
ด้านนายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ในฐานะตัวแทนเกษตรกรชาวนา กล่าวว่าชาวนาเดือดร้อนจากราคาข้าว 5,500 -6,000 บาทต่อตัน แต่ต้นทุนการผลิต 6,500 - 7,000 บาทต่อตัน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์ข้าวโลกและข้าวไทย ปี 2568/69 โดยคาดว่าราคาข้าวโลก ปีการผลิต 68/69 จะถูกกดดันจากสต๊อกข้าวอินเดียที่เพิ่มขึ้น มากกว่าที่คาดการณ์ รวมถึงการระงับการนำเข้าข้าว นาน 2 เดือนของฟิลิปปินส์ การชะลอนำเข้าข้าวไปจนถึงปี 2569 ของอินโดนีเซีย
พาณิชย์ป้องชาวนารับตลาดโลกแข่งดุ
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนราคาข้าว เช่น ผลผลิตข้าวในเวียดนาม และฟิลิปปินส์ที่ได้ผลกระทบจากพายุวิภา เวียดนามประกาศเริ่มเก็บ VAT 5% กับสินค้าข้าวเพื่อการส่งออกตั้งแต่ 1 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป ซึ่งนโยบายเหล่านี้จะมีผลต่อราคาข้าวตลาดโลกในระยะข้างหน้าจึงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงภายนอกอย่างใกล้ชิด
“ที่ประชุม นบข. พิจารณาและมีมติเห็นชอบกรอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปีการผลิต 2568 เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากราคาข้าวตกต่ำจากภาวะตลาดโลก"
ทั้งนี้การช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง วงเงินสูงสุดไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน จ่ายตรงเข้าบัญชีเกษตรกร โดยจะช่วยเหลือเป็นการเฉพาะนาปรังปี 68 เท่านั้น
ส่วนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 นบข.เคาะช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท วงเงินสูงสุดไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน จ่ายตรงเข้าบัญชีเกษตรกร ซึ่งนบข.ได้มอบให้กรมการข้าวและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เร่งดำเนินการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปโดยเร็วที่สุด
กางแผนตลาดใหม่-พัฒนาพันธุ์ข้าว
ด้านการส่งออกข้าว ที่ประชุมเห็นชอบการจัดสรรโควตาการส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยังสหภาพยุโรปของโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร สำหรับปี 2569 – 2571 ของกรมการข้าว เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจและสนับสนุนผู้ประกอบการส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยังสหภาพยุโรป ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ จะจัดสรรโควตาการส่งข้าวไปสหภาพยุโรป สำหรับปี 2569 – 2571 ปริมาณ 1,700 ตันต่อปี
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าว ให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นเหมาะสมกับพื้นที่เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต และตรงกับความต้องการของตลาดต่างประเทศ และพันธุ์ข้าวต้องมีจำนวนเพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรจึงได้ให้ตั้งคณะทำงานประกอบด้วยหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งด้านการผลิต และการตลาด พิจารณาพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมและเพียงพอ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพข้าวไม่ได้มาตรฐานซึ่งส่งผลต่อราคาขาย และให้รายงาน นบข.ให้ทราบในครั้งต่อไป
”รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการรับฟังข้อเสนอและเสียงสะท้อนจากเกษตรกร รวมถึงผู้เกี่ยวข้องในสินค้าข้าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาปรับปรุงมาตรการให้ตรงกับความต้องการจริงในพื้นที่ ทั้งเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น และวางรากฐานการแก้ไขปัญหาการผลิตและการตลาดข้าวอย่างยั่งยืนในระยะยาว"
กระตุ้นบริโภค-ส่งออกครึ่งหลังปี68
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงการหารือสถานการณ์ส่งออกข้าวของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งด้านพันธุ์ข้าว ปุ๋ย ยา และต้นทุนการผลิต ซึ่งกระทรวงฯ ได้ริเริ่ม “โครงการธงเขียว” เพื่อลดภาระต้นทุนของเกษตรกร และเตรียมส่งเสริมการผลิตข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกอย่างแท้จริง
พร้อมกันนี้ ได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศประสานทูตพาณิชย์เร่งติดต่อกับทางการจีน เพื่อผลักดันการส่งออกข้าวตามโควตาที่เหลืออีก 280,000 ตัน รวมทั้งเจาะตลาดผ่านงาน China-ASEAN EXPO 2025 ณ เมืองหนานหนิง เดือนก.ย. 2568 และงาน China International Import Expo (CIIE) 2025 ที่นครเซี่ยงไฮ้ เดือนพ.ย. 2568 นอกจากนี้ ยังเน้นเจาะตลาดสำคัญอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย และบังกลาเทศ ซึ่งเป็นตลาดข้าวขาวและข้าวนึ่ง รวมทั้งฮ่องกงซึ่งเป็นตลาดข้าวหอมมะลิศักยภาพ โดยเฉพาะฮ่องกงที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
“ในประเทศ ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในเตรียมออกมาตรการส่งเสริมการบริโภคและระบายสต๊อกข้าวนาปี คาดว่าจะสามารถดึงข้าวเปลือกออกได้ประมาณ 8.5 ล้านตัน ผ่านจุดกระตุ้นตลาดนัดข้าวเปลือก สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และยุ้งฉางของเกษตรกร เพื่อให้มีแรงซื้อในประเทศ พร้อมเร่งระบายข้าวไปยังตลาดศักยภาพทั่วโลก”
ปริมาณข้าวล้นดีมานด์หดฉุดราคา
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ปี 2568 เป็นปีที่ท้าทายมาก เนื่องจากปริมาณข้าวในตลาดโลกสูง ขณะที่ความต้องการลดลง เช่น อินโดนีเซียที่เคยนำเข้า 4 ล้านตันในปี2567 ที่ผ่านมา คาดว่าอาจซื้อเพียงเล็กน้อยช่วงปลายปี ขณะเดียวกัน ราคาข้าวก็ลดลงเหลือกิโลกรัมละ 10.50 บาท จากเดิม 19–20 บาท ส่งผลให้เกษตรกรได้รับผลกระทบโดยตรง
“คู่แข่งของเราพัฒนาเรื่องพันธุ์ข้าวได้ดีขึ้น ทำให้ความแตกต่างด้านคุณภาพลดลง หากราคาข้าวไทยแพงกว่าก็มีแนวโน้มที่ผู้ซื้อจะเปลี่ยนไปซื้อจากประเทศอื่น ดังนั้นต้องเน้นการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะในตลาดที่มีศักยภาพ เช่น จีน และตะวันออกกลาง พร้อมเร่งพัฒนาความหลากหลายของข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวนุ่มซึ่งกำลังได้รับความนิยมในเอเชีย”
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ได้เสนอให้รัฐบาลดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ และอยู่ในระดับอ่อนค่าประมาณ 33–34 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทย ซึ่งหากค่าเงินบาทผันผวนจะกระทบต่อการตัดสินใจขายและซื้อของทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าโดยตรง
พร้อมกันนี้ ยังได้เสนอให้เร่งเปิดตลาดข้าวในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งใช้ข้าวแข็งในการเลี้ยงแรงงานในแคมป์ และขอให้ผลักดันโควตาการส่งออกข้าวไปญี่ปุ่น รวมถึงผลักดันการส่งออกข้าวไปอิรัก ซึ่งเป็นตลาดศักยภาพที่ไทยควรขยายปริมาณการขายเพิ่มขึ้น
คาดทั้งปี68ส่งออกได้7.5ล้านตัน
จากรายงานของกรมการค้าต่างประเทศ พบว่า ในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.–มิ.ย. 2568) ไทยส่งออกข้าวได้ 3.73 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 75,563 ล้านบาท ลดลง 27.29% และ 36.45% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ คาดว่าทั้งปีจะส่งออกได้ 7.5 ล้านตัน โดยได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากปัจจัยสำคัญ อาทิ ปริมาณผลผลิตข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น อินเดียกลับมาส่งออกปริมาณมากและมีสต๊อกข้าวในประเทศสูง และอินโดนีเซียลดการนำเข้า รวมทั้งเงินบาทแข็งค่า
สำหรับชนิดข้าวที่ไทยส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ข้าวขาว คิดเป็น 47.19% ของปริมาณส่งออกข้าวไทยทั้งหมด รองลงมาคือข้าวหอมมะลิไทย ข้าวนึ่ง และข้าวหอมไทย โดยมีตลาดสำคัญ ได้แก่ อิรัก สหรัฐ แอฟริกาใต้ จีน และเซเนกัล ซึ่งไทยยังคงสามารถขยายตลาดได้ในตะวันออกกลางและยุโรป แม้ตลาดเอเชียและแอฟริกาจะหดตัวลง