โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ชาวนาลุ้นต่อครม.เคาะแจกไร่ละ1,000 พยุงสถานการณ์ราคาข้าวเปลือกตกต่ำ

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 21 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ไทยจึงอยู่ตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวอันดับต้นๆของโลก แต่ไทยก็ยังไม่สามารถจัดการสถานการณ์ตลาดโลกได้เพราะมีรายใหญ่กว่ามากอย่างอินเดีย ที่มีข้าวเต็มสต๊อกทำให้ปี 2568 นี้ไม่ใช่จังหวะทองของการค้าข้าวโลก สถานการณ์ตลาดจึงเป็นสมรภูมิสงครามราคาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนราคาข้าวเปลือกที่เป็นรายได้คนไทยกว่า 18 ล้านคนก็ต้องลดลงตามไปด้วย

ราคาส่งออกข้าว (เอฟโอบี) ณ วันที่ 13 ส.ค. 2568 จากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ข้าวหอมมะลิไทยชนิดพิเศษ (67/68) ต้นละ 1,087 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 30 ก.ค.2568 ซึ่งอยู่ที่ตันละ 1,076 ดอลลาร์ ข้าวสาร 5% ตันละ 378 ดอลลาร์ ลดลงจาก 387 ดอลลาร์ ข้าวนึ่ง 100% ชนิดพิเศษ ตันละ 391 ดอลลาร์ ลดลงจาก 402 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม หากเทียบราคาข้าวไทยกับผู้ส่งออกรายอื่นๆจะพบว่า ข้าวไทยมีราคาสูงกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ โดยกลุ่มข้าวหอมมะลิ อินเดียตันละ 860 ดอลลาร์ เวียดนาม 555-559 ดอลลาร์ ยกเว้นปากีสถาน ที่ตันละ 1,120 ดอลลาร์ กลุ่มข้าวขาว เวียดนามตันละ 395-399 ดอลลาร์ อินเด่ีย ตันละ 375-379 ดอลลาร์ และกลุ่มข้าวนึ่ง อินเดียและปากีสถานอยู่ที่ ตันละ 368-372

ราคาข้าวเปลือกยังร่วงต่อ

เมื่อราคาส่งออกข้าวกำลังอยู่ในช่วงขาลง ย่อมส่งผลต่อเนื่องมาถึงราคาข้าวเปลือกในประเทศ โดย ราคา ณ วันที่ 13 ส.ค.2568 จากสมาคมโรงสีข้าวไทย ข้าวเปลือกเจ้า(ความชื้น15%) จังหวัดอยุธยา ตันละ6,300 -6,700 บาท ลดลงจากสัปดาห์ก่อน (6 ส.ค.2568) ตันละ 6,600-7,000 บาท ส่วนข้าวหอมมะลิไม่มีผลผลิต

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวของเกษตรกรปลูกข้าวปีการผลิต 2568/69และนาปรังปีการผลิต 2568โดยจะจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาทไม่เกิน 10 ไร่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาต้นทุนการผลิตสูงและราคาข้าวที่ตกต่ำ

คาดว่า เกษตรกรที่ทำนาปรังจะได้รับเงินเร็วที่สุดภายในเดือนก.ย. 2568 ส่วนเกษตรกรที่ทำนาปีจะได้รับในช่วงปลายปี2568 หรือต้นปีงบประมาณ 2569 โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือชาวนาที่ลงทะเบียนทำนาปี 4.6 ล้านครัวเรือน วงเงิน 37,900 ล้านบาท และนาปรัง 8.5 แสนครัวเรือน วงเงิน 7,200 ล้านบาท รวมวงเงินทั้งสิ้น45,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ที่ประชุมพิจารณาจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ราคาข้าวในอินเดียที่ลดลงอย่างมาก รวมถึงภาระหนี้สินของชาวนาที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนการผลิตสูงแต่ราคาขายข้าวกลับตกต่ำลง

ลั่นปีหน้าไร้แผนแจกเงินอีก

“กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นปัญหาเดียวกัน จึงเป็นที่มาของการแจกเงินวันนี้พร้อมย้ำว่ารัฐบาลไม่เห็นด้วยกับการอุดหนุนในระยะยาว และต้องการให้ชาวนารวยได้ด้วยตนเอง"

นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เสนอเงื่อนไขใหม่ 2 ประการ คือ 1.รัฐบาลจะไม่สนับสนุนการปลูกข้าวพันธุ์ที่ใช้ไม่ได้ 2.ในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวจะส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน โดยจะให้เวลาในการปรับตัว และยืนยันว่าปีหน้าจะไม่มีการแจกเงินในลักษณะนี้อีกแล้วโดยแผนทั้งหมดจะถูกนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาต่อไป

ด้านนายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ในฐานะตัวแทนเกษตรกรชาวนา กล่าวว่าชาวนาเดือดร้อนจากราคาข้าว 5,500 -6,000 บาทต่อตัน แต่ต้นทุนการผลิต 6,500 - 7,000 บาทต่อตัน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์ข้าวโลกและข้าวไทย ปี 2568/69 โดยคาดว่าราคาข้าวโลก ปีการผลิต 68/69 จะถูกกดดันจากสต๊อกข้าวอินเดียที่เพิ่มขึ้น มากกว่าที่คาดการณ์ รวมถึงการระงับการนำเข้าข้าว นาน 2 เดือนของฟิลิปปินส์ การชะลอนำเข้าข้าวไปจนถึงปี 2569 ของอินโดนีเซีย

พาณิชย์ป้องชาวนารับตลาดโลกแข่งดุ

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกที่ช่วยหนุนราคาข้าว เช่น ผลผลิตข้าวในเวียดนาม และฟิลิปปินส์ที่ได้ผลกระทบจากพายุวิภา เวียดนามประกาศเริ่มเก็บ VAT 5% กับสินค้าข้าวเพื่อการส่งออกตั้งแต่ 1 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป ซึ่งนโยบายเหล่านี้จะมีผลต่อราคาข้าวตลาดโลกในระยะข้างหน้าจึงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงภายนอกอย่างใกล้ชิด

“ที่ประชุม นบข. พิจารณาและมีมติเห็นชอบกรอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปีการผลิต 2568 เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากราคาข้าวตกต่ำจากภาวะตลาดโลก"

ทั้งนี้การช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง วงเงินสูงสุดไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน จ่ายตรงเข้าบัญชีเกษตรกร โดยจะช่วยเหลือเป็นการเฉพาะนาปรังปี 68 เท่านั้น

ส่วนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2568/69 นบข.เคาะช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท วงเงินสูงสุดไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน จ่ายตรงเข้าบัญชีเกษตรกร ซึ่งนบข.ได้มอบให้กรมการข้าวและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เร่งดำเนินการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปโดยเร็วที่สุด

กางแผนตลาดใหม่-พัฒนาพันธุ์ข้าว

ด้านการส่งออกข้าว ที่ประชุมเห็นชอบการจัดสรรโควตาการส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยังสหภาพยุโรปของโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร สำหรับปี 2569 – 2571 ของกรมการข้าว เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจและสนับสนุนผู้ประกอบการส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยังสหภาพยุโรป ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ จะจัดสรรโควตาการส่งข้าวไปสหภาพยุโรป สำหรับปี 2569 – 2571 ปริมาณ 1,700 ตันต่อปี

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือเกี่ยวกับการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าว ให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นเหมาะสมกับพื้นที่เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต และตรงกับความต้องการของตลาดต่างประเทศ และพันธุ์ข้าวต้องมีจำนวนเพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรจึงได้ให้ตั้งคณะทำงานประกอบด้วยหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งด้านการผลิต และการตลาด พิจารณาพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมและเพียงพอ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพข้าวไม่ได้มาตรฐานซึ่งส่งผลต่อราคาขาย และให้รายงาน นบข.ให้ทราบในครั้งต่อไป

”รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการรับฟังข้อเสนอและเสียงสะท้อนจากเกษตรกร รวมถึงผู้เกี่ยวข้องในสินค้าข้าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาปรับปรุงมาตรการให้ตรงกับความต้องการจริงในพื้นที่ ทั้งเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น และวางรากฐานการแก้ไขปัญหาการผลิตและการตลาดข้าวอย่างยั่งยืนในระยะยาว"

กระตุ้นบริโภค-ส่งออกครึ่งหลังปี68

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงการหารือสถานการณ์ส่งออกข้าวของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งด้านพันธุ์ข้าว ปุ๋ย ยา และต้นทุนการผลิต ซึ่งกระทรวงฯ ได้ริเริ่ม “โครงการธงเขียว” เพื่อลดภาระต้นทุนของเกษตรกร และเตรียมส่งเสริมการผลิตข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกอย่างแท้จริง

พร้อมกันนี้ ได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศประสานทูตพาณิชย์เร่งติดต่อกับทางการจีน เพื่อผลักดันการส่งออกข้าวตามโควตาที่เหลืออีก 280,000 ตัน รวมทั้งเจาะตลาดผ่านงาน China-ASEAN EXPO 2025 ณ เมืองหนานหนิง เดือนก.ย. 2568 และงาน China International Import Expo (CIIE) 2025 ที่นครเซี่ยงไฮ้ เดือนพ.ย. 2568 นอกจากนี้ ยังเน้นเจาะตลาดสำคัญอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย และบังกลาเทศ ซึ่งเป็นตลาดข้าวขาวและข้าวนึ่ง รวมทั้งฮ่องกงซึ่งเป็นตลาดข้าวหอมมะลิศักยภาพ โดยเฉพาะฮ่องกงที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง

“ในประเทศ ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในเตรียมออกมาตรการส่งเสริมการบริโภคและระบายสต๊อกข้าวนาปี คาดว่าจะสามารถดึงข้าวเปลือกออกได้ประมาณ 8.5 ล้านตัน ผ่านจุดกระตุ้นตลาดนัดข้าวเปลือก สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และยุ้งฉางของเกษตรกร เพื่อให้มีแรงซื้อในประเทศ พร้อมเร่งระบายข้าวไปยังตลาดศักยภาพทั่วโลก”

ปริมาณข้าวล้นดีมานด์หดฉุดราคา

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ปี 2568 เป็นปีที่ท้าทายมาก เนื่องจากปริมาณข้าวในตลาดโลกสูง ขณะที่ความต้องการลดลง เช่น อินโดนีเซียที่เคยนำเข้า 4 ล้านตันในปี2567 ที่ผ่านมา คาดว่าอาจซื้อเพียงเล็กน้อยช่วงปลายปี ขณะเดียวกัน ราคาข้าวก็ลดลงเหลือกิโลกรัมละ 10.50 บาท จากเดิม 19–20 บาท ส่งผลให้เกษตรกรได้รับผลกระทบโดยตรง

“คู่แข่งของเราพัฒนาเรื่องพันธุ์ข้าวได้ดีขึ้น ทำให้ความแตกต่างด้านคุณภาพลดลง หากราคาข้าวไทยแพงกว่าก็มีแนวโน้มที่ผู้ซื้อจะเปลี่ยนไปซื้อจากประเทศอื่น ดังนั้นต้องเน้นการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะในตลาดที่มีศักยภาพ เช่น จีน และตะวันออกกลาง พร้อมเร่งพัฒนาความหลากหลายของข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวนุ่มซึ่งกำลังได้รับความนิยมในเอเชีย”

ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ได้เสนอให้รัฐบาลดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ และอยู่ในระดับอ่อนค่าประมาณ 33–34 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทย ซึ่งหากค่าเงินบาทผันผวนจะกระทบต่อการตัดสินใจขายและซื้อของทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าโดยตรง

พร้อมกันนี้ ยังได้เสนอให้เร่งเปิดตลาดข้าวในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งใช้ข้าวแข็งในการเลี้ยงแรงงานในแคมป์ และขอให้ผลักดันโควตาการส่งออกข้าวไปญี่ปุ่น รวมถึงผลักดันการส่งออกข้าวไปอิรัก ซึ่งเป็นตลาดศักยภาพที่ไทยควรขยายปริมาณการขายเพิ่มขึ้น

คาดทั้งปี68ส่งออกได้7.5ล้านตัน

จากรายงานของกรมการค้าต่างประเทศ พบว่า ในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.–มิ.ย. 2568) ไทยส่งออกข้าวได้ 3.73 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 75,563 ล้านบาท ลดลง 27.29% และ 36.45% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ คาดว่าทั้งปีจะส่งออกได้ 7.5 ล้านตัน โดยได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากปัจจัยสำคัญ อาทิ ปริมาณผลผลิตข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น อินเดียกลับมาส่งออกปริมาณมากและมีสต๊อกข้าวในประเทศสูง และอินโดนีเซียลดการนำเข้า รวมทั้งเงินบาทแข็งค่า

สำหรับชนิดข้าวที่ไทยส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ข้าวขาว คิดเป็น 47.19% ของปริมาณส่งออกข้าวไทยทั้งหมด รองลงมาคือข้าวหอมมะลิไทย ข้าวนึ่ง และข้าวหอมไทย โดยมีตลาดสำคัญ ได้แก่ อิรัก สหรัฐ แอฟริกาใต้ จีน และเซเนกัล ซึ่งไทยยังคงสามารถขยายตลาดได้ในตะวันออกกลางและยุโรป แม้ตลาดเอเชียและแอฟริกาจะหดตัวลง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 14 ส.ค.68 ‘อ่อนค่า‘ คาดเฟดไม่รีบลดดอกเบี้ย

13 นาทีที่แล้ว

รัฐบาลทรัมป์จ่อเข้าถือหุ้นอินเทล หวังหนุนอุตสหากรรมชิปอเมริกา

26 นาทีที่แล้ว

เอกชนจี้รัฐดัน 'พลังงานสะอาด' ดึงลูกค้าต่างชาติด้วย ESG แข่งเวทีโลก!

51 นาทีที่แล้ว

จุดเปลี่ยน ‘อิเล็กทรอนิกส์-ยานยนต์’ ปรับโครงสร้างอุตฯ‘รักษาตลาดส่งออก’

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไอที ธุรกิจอื่น ๆ

ตลาดสุกี้ 2 หมื่นล้านเดือดพล่าน เอ็มเค vs ตี๋น้อย แลกหมัดต่อหมัด

The Bangkok Insight

ดาวโจนส์ปิดลบ 11.01 จุด รายงาน PPI ลดความคาดหวังเฟดลดดอกเบี้ย

efinanceThai

อัปเดตราคาน้ำมันวันนี้ 15 ส.ค. เช็กราคาเบนซิน-ดีเซล-แก๊สโซฮอล์ที่นี่

The Bangkok Insight

จุดเปลี่ยน ‘อิเล็กทรอนิกส์-ยานยนต์’ ปรับโครงสร้างอุตฯ‘รักษาตลาดส่งออก’

กรุงเทพธุรกิจ

มือถือซัมซุง 11 รุ่น ปัญหาจอมีเส้น ได้สรุป 3 ทางเลือกเยียวยา

ฐานเศรษฐกิจ

ณรงค์เดช(ณพ)ฟ้องข่าวหุ้น

ข่าวหุ้นธุรกิจ

อย่าแตกแถว

ข่าวหุ้นธุรกิจ

การซื้อขายหุ้นของผู้บริหาร บจ. ประจำวันที่ 14 สิงหาคม 2568

ทันหุ้น

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...