โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

‘ฉันทวิชญ์’ รับมือภาษีทรัมป์ 3 ภารกิจใหญ่แก้วิกฤตส่งออก

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์

ได้ชื่อว่า เป็นรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

“ฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์” คนรุ่นใหม่เจน Y ที่ผันตัวจากวงการการเงิน เข้าสู่การทำงานการเมือง กับภารกิจดูแลเศรษฐกิจปากท้อง และเป็นหน้าด่านสำคัญในการดูแลแก้ปัญหาให้กับผู้ส่งออกรับมือวิกฤตภาษีตอบโต้การค้า (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐอเมริกา

รับหน้าที่ใน ครม.อิ๊งค์ 2 เพียงแค่เดือนเศษ แต่เนื้องานที่ได้รับมอบหมาย เป็นเรื่องใหญ่ชี้เป็นชี้ตายผู้ส่งออก คือ การแก้ปัญหาการส่งออกของไทยที่มีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งกำลังเจอวิกฤตใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงของโลกการค้ายุคใหม่ ภายใต้ภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

“โจทย์ใหญ่ที่สุดของผม คือ ทำอย่างไรให้ประเทศ ผู้ประกอบการ ประชาชนไทย มีที่ยืนในระบบเศรษฐกิจโลก ที่เราเห็นว่าปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงมาก ซึ่งไม่ใช่เฉพาะกระทรวงพาณิชย์ แต่หมายถึงทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนโยบายของสหรัฐอเมริกา ซึ่งต้องมีการเจรจาเกิดขึ้นมากมาย ทำอย่างไรให้ประเทศไทยมีที่ยืนอย่างแข็งแกร่ง เพื่อที่จะตอบโจทย์ปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งผมได้รับมอบหมายจากนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้ติดตามและดูแล โดยเฉพาะงานด้านการต่างประเทศ รวมไปถึงงานเชิงกลยุทธ์ ซึ่งผมแบ่งแนวทางไว้ 3 ส่วนสำคัญ คือ 1.การเจรจาในเชิงรุก 2.ปรับกฎเกณฑ์ให้ไทยสามารถแข่งขันได้ 3.วางกลยุทธ์การค้าในโลกที่เปลี่ยนแปลง”

2 งานด่วน “เจรจาสหรัฐ-ทำ FTA”

1.การเจรจาเชิงรุก แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ การเจรจากับสหรัฐ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ถือว่าเป็นทีมเจรจาหลักด้านเทคนิค โดยเฉพาะภายหลังจากที่สหรัฐประกาศภาษีนำเข้าสินค้าไทยที่ 19% จากนี้จะเป็นการเจรจาในรายละเอียด โดยเฉพาะเงื่อนไขที่จะทำให้ไทยไม่ถูกข้อหาสินค้าสวมสิทธิเพื่อการส่งออก หรือเงื่อนไขการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) ไม่เช่นนั้นจะถูกเรียกเก็บภาษีที่ 40% แทน ซึ่งคาดว่าทางสหรัฐจะมีการประกาศกฎเกณฑ์ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน 2568 นี้ ในการเจรจาระดับนี้ กระทรวงพาณิชย์จะพยายามให้ได้ข้อตกลงที่ดีที่สุดให้กับประเทศ และรักษาระดับความสามารถในการแข่งขันไว้

ส่วนที่สอง คือ การเจรจาเพื่อเปิดตลาดการค้าการส่งออกใหม่ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้เร่งเดินหน้าการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี หรือเอฟทีเอ ใหม่ ๆ อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะข้อตกลงเอฟทีเอไทย-อียู ปัจจุบันก็มีความคืบหน้าไปมาก คาดหวังว่าจะสามารถเจรจาข้อตกลงทั้ง 23 บท ให้คืบหน้าและชัดเจนมากขึ้น จากตอนนี้สรุปไปได้แล้ว 7 บท และข้อตกลงเอฟทีเอไทย-เกาหลีใต้ คาดว่าในเดือนกันยายน 2568 นี้จะเริ่มเห็นความชัดเจนและสรุปการเจรจาได้

นอกจากนี้ ผมได้มีการพูดคุยหารือกับทางทูตอังกฤษ โดยมีความเป็นไปได้ที่จะทำข้อตกลงการค้าระหว่างไทยกับอังกฤษ แต่จะเป็นช่องทางไหนอาจจะต้องพิจารณาหารือร่วมกันอีกครั้ง และก็ยังให้ความสำคัญในกรอบการเจรจาเอฟทีเอในกรอบอื่น ๆ ด้วย แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ประเทศไทย ผู้ประกอบการไทย จะต้องได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งผมมองว่าจะเร็วหรือช้า มันต้องดูเรื่องของคุณภาพกรอบการเจรจาเป็นตัวสำคัญด้วย

ปรับระบบรวดเร็วรับมือแข่งขันค้า

2.ปรับกฎเกณฑ์ให้ไทยสามารถแข่งขันได้ ในประเด็นนี้จะสอดรับจากเงื่อนไข Local Content ซึ่งสหรัฐกำหนดมาแล้ว ผู้ส่งออกก็จะต้องมีการขอใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (CO หรือ Certificate of Origin) ที่กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ออกใบอนุญาต ซึ่งขณะนี้เราได้ปรับปรุงระบบ เพื่อให้มั่นใจว่า ผู้ประกอบการจะได้รับความสะดวกรวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ ผมยังได้ร่วมกับกรมการค้าต่างประเทศในการกำหนดเป้าหมาย เพื่อยกระดับการทำธุรกิจของผู้ประกอบการไทย โดยจะเริ่มตั้งแต่การจัดตั้งบริษัท จนกระทั่งจะทำการส่งออกสินค้าไปในตลาดต่างประเทศ ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก จะต้องได้เจออะไรบ้าง โดยเฉพาะเรื่องของกฎเกณฑ์ ซึ่งจะเข้ามาดูในรายละเอียดว่าในแต่ละกฎเกณฑ์ เงื่อนไขจะช่วยเหลือให้มีขั้นตอนง่ายและสะดวกขึ้น เช่น กฎเกณฑ์การขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า และด้วยการเจรจาภาษีสหรัฐ ทำให้เราต้องเร่งในเรื่องนี้ให้มีความง่ายและรวดเร็วขึ้น เพราะเชื่อว่าในอนาคตผู้ประกอบการจะเข้ามาขอใบอนุญาตดังกล่าวเพิ่มขึ้น

จับตาสัดส่วนถิ่นกำเนิดสินค้า

ส่วนเรื่องถิ่นกำเนิดสินค้า ผมได้ร่วมหารือกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งเราได้หารือตั้งแต่ก่อนเจรจาภาษีสหรัฐ ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเรื่องของถิ่นกำเนิดสินค้าจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยกรมการค้าต่างประเทศ และกระทรวงการคลัง ได้พูดคุยกับผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องและพยายามรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด ขณะนี้เรามีข้อมูลมากพอสมควร แต่ละธุรกิจมีการใช้ที่แตกต่างกัน บางอุตสาหกรรมมาก บางอุตสาหกรรมต่ำอยู่

ขณะนี้สหรัฐยังไม่ได้ประกาศสัดส่วน ซึ่งจากที่ได้ติดตามข้อมูลประเมินว่า เงื่อนไขของ Local Content หรือสัดส่วนมูลค่าที่ผลิตขึ้นในภูมิภาค หรือ RVC (Regional Value Content) จะกำหนดไว้ 3 ส่วน คือ ถิ่นกำเนิดสินค้าที่เกิดจากไทย จากสหรัฐ และจากประเทศพันธมิตร ซึ่งหมายถึงประเทศที่ได้ภาษีจากสหรัฐ ในอัตราที่ต่ำกว่าหรือเท่ากับไทย เช่น ในกลุ่มอาเซียน จะยกเว้นใช้วัตถุดิบจากเวียดนาม พม่า ลาว ซึ่งได้ภาษีสูงกว่าไทย อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดเป็นเพียงการคาดการณ์ สุดท้ายต้องรอประกาศจากสหรัฐ ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศจะเป็นผู้ชี้แจงและประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป

ทั้งนี้ หากสหรัฐมีการกำหนดหลักเกณฑ์ชัดเจน ผมเชื่อว่าในหลายอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวและดำเนินการตามหลักเกณฑ์ได้ ซึ่งปัจจุบันก็เห็นว่าหลายอุตสาหกรรมก็มีการปรับตัวไปบ้างแล้ว

รัฐแบ่งหน้าที่ช่วยผู้ส่งออก

ส่วนบางอุตสาหกรรมที่อาจจะปรับตัวลำบากในเรื่องของการใช้ถิ่นกำเนิดสินค้า ผมมองว่าสามารถนำประเด็นดังกล่าวเจรจากับสหรัฐได้ แต่ขณะเดียวกัน ประเทศไทยก็จำเป็นต้องเตรียมการรับมือ และหามาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่มีความเปราะบาง โดยเร็ว ๆ นี้จะมีการประชุมหารือร่วมกัน ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อาจจะรวมไปถึงหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อดูว่าเราจะเข้าไปช่วยผู้ประกอบการไทยให้ปรับตัวเพื่อรับกับกฎเกณฑ์ดังกล่าวนี้อย่างไร

ซึ่งในการช่วยเหลือนั้น กระทรวงพาณิชย์ก็จะทำหน้าที่ให้คำปรึกษา ให้ข้อมูล โดยเฉพาะถิ่นกำเนิดสินค้าที่จะหาทดแทนประเทศที่ต้องหลีกเลี่ยง เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถส่งออกไปสหรัฐได้ ขณะที่กระทรวงการคลัง และสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ก็จะมีบทบาทในการออกกองทุนส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน เป็นกลไกหลักในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ส่วนของซอฟต์โลนนั้น กระทรวงพาณิชย์ก็จะให้ข้อมูลกับผู้ประกอบการ สนับสนุนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนดังกล่าว ซึ่งอาจจะปล่อยผ่านเอสเอ็มอีแบงก์ และ EXIM Bank

“บทบาทของเราไม่ได้ต้องการบังคับให้ผู้ประกอบการต้องเลือกแบบไหน แต่หลักการคือ ภาครัฐจะต้องไม่เป็นอุปสรรคในเรื่องของการเลือก Content ของผู้ประกอบการ เราพยายามจะดีไซน์หลักเกณฑ์เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกประเทศที่เขามองว่าดีที่สุดในการทำธุรกิจ ส่วนจะเลือกอะไรเพื่อให้ได้ประโยชน์ที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ประกอบการในแต่ละราย”

เร่งปัดฝุ่นกองทุนเอฟทีเอ

ส่วนเรื่องของกองทุนเอฟทีเอ ก็จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการและเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเจรจา เป็นอีกกลไกหนึ่งที่เราจะต้องพิจารณาปรับกรอบวงเงินและกรอบการทำงาน เพราะกองทุนที่มีอยู่เป็นเรื่องก่อนที่จะมีการเจรจาภาษีทรัมป์ ซึ่งขณะนี้อาจจะต้องนำเรื่องเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้ง เพื่อพิจารณาทบทวนในเรื่องของรายละเอียดของกองทุนอีกครั้ง

ซึ่งโดยหลักการและโครงสร้างถือว่าถูกต้องแล้ว แต่ในเรื่องของรายละเอียด เนื่องจากว่าสถานการณ์การค้ามีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ซึ่งอาจจะจำเป็นจะต้องนำกลับมาทบทวน โดยเฉพาะเรื่องของกลไก หลักการในการเข้าใช้ประโยชน์ เพราะว่ากองทุนนี้มีมานานแล้ว

วางกลยุทธ์ไทยในเวทีโลก

ส่วนเรื่องที่ 3.วางกลยุทธ์การค้าในโลกที่เปลี่ยนแปลง ผมได้มีโอกาสพูดคุยหารือกับภาคเอกชน ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเป็นไปในทิศทางเดียวกันที่ต้องการให้ประเทศไทยมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนขึ้นว่า สภาวะโลกการค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ประเทศไทยต้องการที่จะทำมาค้าขายกับตลาดโลกอย่างไร รวมไปถึงประเทศไทยมีจุดแข็งในเรื่องอะไร และอะไรที่เป็นจุดอ่อนที่จะต้องเร่งปรับปรุง

โดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า หรือ สนค. จะเป็นหน่วยงานหลักที่จะเข้ามากำหนดกลยุทธ์ในการค้า โดยการกำหนดกลยุทธ์ครั้งนี้ไม่ใช่การกำหนดเป้าหมาย แต่จะเป็นการกำหนดแผนการทำงาน

กลไกการทำงานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎเกณฑ์ การให้ความช่วยเหลือ และมาตรการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ส่งออกไทย เชื่อว่าจะสามารถเดินหน้าไปได้ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือไม่ก็ตาม เรื่องนี้ทุกหน่วยงานเร่งทำงานอย่างเต็มที่เพราะรอไม่ได้ เรารู้ว่าต้องเร่งทำงาน วางระบบ กลไกให้ชัด ดังนั้น แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ กลไกจะมีความเหมาะสมและเดินหน้าต่อได้

“ผมเชื่อว่าสถานการณ์การส่งออกของไทยปี 2568 น่าจะไม่ติดลบ โดยช่วงครึ่งหลังอาจจะชะลอลงไปบ้าง แต่ครึ่งแรกที่เติบโตดี จะช่วยให้ทั้งปีน่าจะเป็นบวก แต่ไม่มาก”

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ‘ฉันทวิชญ์’ รับมือภาษีทรัมป์ 3 ภารกิจใหญ่แก้วิกฤตส่งออก

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ประชาชาติธุรกิจ

หวยออกงวด 16 ส.ค. ถ่ายทอดสด ตรวจหวย ตรวจผลรางวัล ผลสลากฯ วันนี้

16 นาทีที่แล้ว

ใช้มาตรา 51 หยุดภัยคุกคามกัมพูชา ?

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

‘ไทย-สิงคโปร์’ จากคู่ค้าอันดับ 9 สู่เวที ‘นักคิด’ ที่ดีผ่านงานเสวนาครั้งใหญ่ ‘เศรษฐกิจสีเขียว’ เพื่อภูมิภาคอาเซียน

TODAY Bizview

ลูกค้าจังหวัดแพร่ รับ 60 ล้านแบบเต็มๆ สลาก ธกส.

สยามนิวส์

จับทิศทางเศรษฐกิจไทย หลัง กนง. หั่นดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ช่วยอะไรได้บ้าง?

BTimes

สุดสยอง “บ้านผีสิงธี่หยด” เปิดตัวครั้งแรกใน Universal Studios Singapore 26 ก.ย. นี้

ฐานเศรษฐกิจ

บุกยึด! พาวเวอร์แบงค์-อะแดปเตอร์ ไม่มี มอก. คาไลน์ผลิต

PPTV HD 36

ไทยเสี่ยงเจอข้อหา ‘สินค้าสวมสิทธิ์’ ระเบิดเวลาภาษีทรัมป์

TODAY

บสย. ค้ำประกันสินเชื่อ อุ้มเอสเอ็มอี 2.4 หมื่นราย มุ่งยกระดับองค์กร

ฐานเศรษฐกิจ

ที่ปรึกษาของ รมว.คลัง ชี้ “Negative Income Tax” เป็นนโยบายดี แต่ต้องวางระบบให้แข็งแรง

การเงินธนาคาร

ข่าวและบทความยอดนิยม

‘ฉันทวิชญ์’ รับมือภาษีทรัมป์ 3 ภารกิจใหญ่แก้วิกฤตส่งออก

ประชาชาติธุรกิจ

ใช้มาตรา 51 หยุดภัยคุกคามกัมพูชา ?

ประชาชาติธุรกิจ

BENZ ปรับกลยุทธ์ เปิด Game Changer ครั้งใหม่

ประชาชาติธุรกิจ
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...