พอร์ตที่ปรับทันโลก ตอนที่ 5 : ยุคที่ "การเลือกข้าง" อาจสำคัญกว่า "การเลือกหุ้น"
ในวันที่โลกเดินเร็วกว่าแผน และข่าวสารเปลี่ยนทิศทางตลาดได้ในพริบตา โลกไม่เคยรอให้ใครพร้อมก่อนที่มันจะเปลี่ยน…
คำถามสำคัญที่สุดของนักลงทุนในวันนี้จึงไม่ใช่แค่ "จะซื้อหุ้นตัวไหนดี?" แต่คือคำถามที่ใหญ่กว่านั้น:
"พอร์ตของเรา…ทันโลกหรือยัง?"
หลังจากที่เราได้เห็นไปแล้วใน 4 ตอนก่อนหน้าว่า ภูมิรัฐศาสตร์ (Geo Politics) ไม่ใช่แค่ฉากหลังของข่าวต่างประเทศ แต่คือแรงกระเพื่อมที่กำหนดอนาคตเศรษฐกิจโลกและสินทรัพย์ในมือเราโดยตรง พลังงานไม่ได้จำกัดอยู่แค่น้ำมัน แต่แผ่ขยายไปถึงลิเธียม, แร่หายาก, และโครงข่ายไฟฟ้าแห่งอนาคต
เทคโนโลยีก็ไม่ใช่เพียงแอปพลิเคชันบนมือถืออีกต่อไป แต่คือสมรภูมิของชิป, ปัญญาประดิษฐ์, และอาวุธเงียบของรัฐมหาอำนาจ
และเหนือสิ่งอื่นใด ปัจจัยที่สำคัญที่สุดกลับเป็นสิ่งที่เรามองข้ามบ่อยที่สุด นั่นคือ "Mindset" ของเราเอง
นี่คือจุดเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดในพอร์ตการลงทุน เพราะต่อให้พอร์ตจะถูกออกแบบมาดีเพียงใด แต่หากวิธีคิดของเรายังคงยึดติดอยู่กับสูตรสำเร็จเดิมๆ ในโลกที่กติกาเปลี่ยนไปแล้ว ปลายทางก็อาจเป็นการพังทลาย…ทั้งที่เราอาจเข้าใจตลาด แต่ไม่เคยเข้าใจตัวเอง
การปรับกระบวนท่าการลงทุน
พอร์ตที่ดีในยุคนี้จึงไม่ใช่พอร์ตที่ "แม่นยำ" ที่สุด แต่คือพอร์ตที่ "ขยับทัน" การเปลี่ยนแปลง ในโลกที่เศรษฐกิจไม่ได้วิ่งตามตัวเลขในงบการเงิน แต่ขับเคลื่อนด้วย เรื่องเล่า (Narrative) และ แรงส่ง (Momentum) คนที่มัวแต่รอให้ทุกอย่างชัดเจน 100% ก่อนตัดสินใจลงทุน มักจะมาถึงเป็นคนสุดท้าย…และได้ของในราคาที่โอกาสหายไปแล้วเกินครึ่ง
ทุกวันนี้ หุ้นที่ขึ้นแรงอาจไม่ได้มาจากงบการเงินที่สวยหรู แต่มาจากปัจจัยที่ทรงพลังกว่านั้น:
- อยู่ฝั่งที่รัฐบาลหนุนหลัง
- มีสตอรี่ที่แข็งแกร่งและน่าดึงดูด
- อยู่ในขั้วอำนาจที่ชนะในเกมภูมิรัฐศาสตร์
ในทางกลับกัน หุ้นที่ตกแรง…ก็อาจไม่ได้ผิดที่ตัวบริษัท แต่อาจผิดที่เรายังวางพอร์ต "อยู่ฝั่งที่กำลังถูกบีบ" หรืออาจจะเติบโตผิดประเทศ
ตัวอย่างล่าสุดที่เราได้เห็นคือ บริษัท Functional Drink มูลค่า 5 หมื่นล้านบาท IFBH (HK: 6603) บริษัทน้ำมะพร้าวสัญชาติไทยหัวใจอินเตอร์ ที่ถ้าคุณ listed ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คุณไม่น่าได้ Premium ขนาดนี้ได้
นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของ "การเติบโตผิดประเทศ" ผลิตภัณฑ์เดียวกัน ทีมงานเดียวกัน แต่เพียงแค่เปลี่ยนตลาดทุนที่ระดมเงิน มูลค่าบริษัทกระโดดขึ้นไปอีกระดับ เพราะนักลงทุนในฮ่องกงและจีนเห็นศักยภาพของแบรนด์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมากกว่านักลงทุนไทย
การจัดพอร์ตในยุคภูมิรัฐศาสตร์จึงต้องออกแบบใหม่ทั้งกระบวนท่า การกระจายความเสี่ยงตามประเภทสินทรัพย์ (Asset Class) แบบเดิมนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป วันนี้เราต้องมองให้ลึกถึงการกระจายความเสี่ยง "ตามห่วงโซ่อุปทาน" (Supply Chain)
เข้าใจห่วงโซ่อุปทานเชิงภูมิรัฐศาสตร์
ลองยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้น หากคุณจะลงทุนในเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า (EV) คุณต้องมองไปถึงต้นน้ำอย่างลิเธียม (Lithium) ที่ออสเตรเลียและชิลีครอบครอง หรือหากจะลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) คุณต้องเข้าใจว่าใครคือผู้กุมสมรภูมิการผลิตชิป (Chip) เพราะนี่คือจุดคอขวดที่กำหนดผู้แพ้ชนะในสงครามเทคโนโลยี
ตัวอย่างที่ชัดเจน: หากความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวันบานปลาย การผลิตชิปกึ่งตัวนำขั้นสูง (Advanced Semiconductor) ที่ 90% ของโลกพึ่งพาไต้หวัน จะส่งผลต่อทุกสิ่งตั้งแต่ iPhone, รถยนต์ไฟฟ้า, ไปจนถึงเซิร์ฟเวอร์ AI ของ Google และ Microsoft เลยเป็นที่มาของ CHIPS Act ในยุคของ Joe Biden ที่สหรัฐฯ ใช้เงิน 280 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปในอเมริกา เพื่อลดการพึ่งพาไต้หวัน
นี่คือเหตุผลที่เราต้องกระจายความเสี่ยงข้ามภูมิภาค ข้ามห่วงโซ่อุปทาน และข้ามฟากการเมืองโลก ไม่ใช่แค่กระจายข้ามหุ้น-บอนด์-ทองคำแบบเดิม
ศิลปะการเลือกข้าง
นี่คือยุคที่ "การเลือกข้าง" อาจสำคัญกว่า "การเลือกหุ้น" เพราะบริษัทที่ดีแค่ไหนก็ไร้ความหมาย หากตั้งอยู่ในประเทศที่โดนคว่ำบาตร พอร์ตของคุณก็ไม่ต่างอะไรจากการถือระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจ
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า "ข้างไหนกำลังจะชนะ"?
- มองที่นโยบาย: ข้างไหนที่รัฐบาลทุ่มเงินลงทุนมหาศาล (เช่น "One Big Beautiful Bill Act" ของสหรัฐฯ ที่ใช้เงิน 5 ล้านล้านดอลลาร์ในการลดภาษีและกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือจีนที่ลงทุนกว่า 500 พันล้านดอลลาร์ต่อปีในพลังงานหมุนเวียน)
- มองที่เทคโนโลยี: ใครควบคุมเทคโนโลยีหลัก (Core Technology) ที่ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ง่าย
- มองที่ทรัพยากร: ใครเป็นเจ้าของวัตถุดิบที่จำเป็นต่อการพัฒนาเทคโนโลยีอนาคต
ดังนั้น เราต้องกล้าเปลี่ยนมนต์การลงทุน จาก "Buy Low, Sell High" ที่อาจช้าเกินไป มาเป็น "Buy Strong, Sell Stronger" คือการกล้าเข้าซื้อของที่ดูเหมือนแพง แต่มีแนวโน้มที่แข็งแกร่งและอยู่บนเส้นทางของนโยบายโลกหนุนหลัง
ข้อสำคัญ: การลงทุนแบบนี้ต้องมาพร้อมการจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวด เพราะ Momentum ที่แรงสามารถพลิกกลับได้เร็วเช่นกัน การกำหนดขนาดตำแหน่ง (Position Sizing) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) จึงสำคัญมากขึ้น
ตัวชี้วัดความ "ทัน" ของพอร์ต
การเข้าใจการเปลี่ยนแปลงคือเพียงก้าวแรก แต่การนำมาใช้จริงต้องอาศัยการประเมินตนเองอย่างซื่อสัตย์ คำถามสามข้อนี้จึงสำคัญ เพราะมันเป็นกระจกส่องที่จะบอกเราว่า เรากำลังเดินไปข้างหน้าหรือติดอยู่กับอดีต
คำตอบไม่ได้ซ่อนอยู่ในตารางวิเคราะห์ที่ซับซ้อน แต่อยู่ในคำถามสามข้อที่เราต้องกล้าถามตัวเองอย่างตรงไปตรงมา:
- เรากำลังใช้แผนที่เก่า…เดินทางในโลกใบใหม่หรือไม่? (ยังยึดติดกับสูตรสำเร็จในอดีตหรือเปล่า?)
- ระหว่าง "ความกลัวของแพง" กับ "ความกลัวพลาดโอกาส" เราให้น้ำหนักกับอะไรมากกว่ากัน? (กลัวราคาขึ้น หรือกลัวตกรถไฟขบวนที่ใหญ่ที่สุด?)
- หากโลกนี้คือกระดานหมากล้อม…พอร์ตของเรากำลังวางหินให้ฝั่งไหน? (เราเลือกข้างที่ชนะ หรือกำลังจะโดนอาตาริ?)
เพราะบางครั้ง การไม่กล้าคิดใหม่ คือเหตุผลลึกๆ ที่ทำให้พอร์ตของเรา "ไม่ไปไหน" ทั้งที่โลกหมุนไปไกลแล้ว
บทส่งท้าย
นี่คือบทสรุปสุดท้ายของซีรีส์ Geo Politics ชุดนี้ เพราะเมื่อคุณมองเกมออก และกล้าที่จะเปลี่ยนวิธีคิด สิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่…ก็คือการลงมือวางเกมของตัวเองให้พร้อมที่สุด
แน่นอนว่า การลงทุนแบบนี้ไม่เหมาะกับทุกคน และไม่ใช่ทุกช่วงเวลาในตลาด สำหรับผู้ลงทุนที่เน้นความมั่นคงและไม่ชอบความผันผวน การยึดหลักการลงทุนแบบดั้งเดิมอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
แต่สำหรับผู้ที่พร้อมจะก้าวเข้าสู่เกมใหม่ของการลงทุน ที่ภูมิรัฐศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก การปรับวิธีคิดและกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับโลกที่เปลี่ยนไป อาจเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างผลตอบแทนที่แตกต่าง
โลกไม่เคยรอให้คุณพร้อมก่อนถึงจะเปลี่ยน และโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต ไม่เคยรอให้คุณแน่ใจถึง 100% ก่อนจะมาถึง
หากคุณพร้อมแล้ว ก็ถึงเวลาวางพอร์ตให้เคลื่อนไหวไปพร้อมกับโลก ไม่ใช่รอให้โลกหยุดแล้วค่อยเดินตาม