สื่อเผย งานวิจัย วัคซีนไฟเซอร์ อาจกระทบกระจกตา เสี่ยงปัญหาการมองเห็น แนะ ติดตามผลระยะยาว
สื่ออังกฤษรายงาน นักวิทยาศาสตร์พบ “วัคซีนไฟเซอร์” อาจกระทบกระจกตา เสี่ยงปัญหาการมองเห็น แนะ ยังต้องติดตามผลระยะยาว
สำนักข่าว เดลิเมล์ ของอังกฤษ รายงานว่า ทีมนักวิจัยจากประเทศตุรกีเผยผลการศึกษาล่าสุด ระบุว่า วัคซีนป้องกันโควิด‑19 ชนิด mRNA ของไฟเซอร์‑ไบออนเทค (Pfizer‑BioNTech) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงที่กระจกตา (cornea) ส่วนใสบริเวณหน้าสุดของดวงตา ซึ่งหากเกิดขึ้นต่อเนื่องอาจนำไปสู่การมองเห็นพร่ามัวหรือสูญเสียการมองเห็นได้ในที่สุด
งานวิจัยนี้ศึกษาจากอาสาสมัคร 64 คน (128 ดวงตา) ตรวจวัดสภาพกระจกตาก่อนรับเข็มแรก และประมาณ 75 วันหลังได้เข็มสอง ใช้วิธีตรวจ Sirius corneal topography วัดความหนา‑รูปร่างกระจกตา Tomey EM‑4000 specular microscope ถ่ายภาพ‑นับเซลล์ชั้นในสุดของกระจกตา (endothelium) ตรวจสอบความหนา รูปร่าง และจำนวนเซลล์ชั้นในสุดของกระจกตา ซึ่งมีหน้าที่รักษาความใสของดวงตา
ผลการวิจัยพบว่า หลังรับวัคซีนครบ 2 เข็ม ความหนาของกระจกตาเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 2% จาก 528 เป็น 542 ไมโครเมตร ขณะที่จำนวนเซลล์ชั้นเยื่อบุด้านในลดลงเฉลี่ย 8% จาก 2,597 เหลือ 2,378 เซลล์ต่อตารางมิลลิเมตร แม้ตัวเลขนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยสำหรับคนทั่วไป แต่ในผู้ที่มีเซลล์น้อยอยู่แล้ว เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บหรือผ่าตัดทางตา อาจเผชิญความเสี่ยงที่สูงกว่าต่อการสูญเสียการมองเห็น
นอกจากนี้ยังพบว่าเซลล์ในกระจกตามีความแปรปรวนของขนาดเพิ่มขึ้น (coefficient of variation) และมีเซลล์รูปทรงหกเหลี่ยม ลดลงจาก 50% เหลือ 48% ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าเซลล์กำลังเผชิญความเครียดหรือการอักเสบ แม้จะยังไม่พบว่าก่อให้เกิดอาการผิดปกติด้านการมองเห็นในช่วงเวลาการศึกษา
นักวิจัยยืนยันว่าไม่ได้มีจุดประสงค์ให้ประชาชนงดการฉีดวัคซีน แต่เสนอให้มีการติดตามผลในระยะยาว โดยเฉพาะในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง และแนะนำให้ผู้ที่มีประวัติการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา หรือมีโรคเกี่ยวกับเซลล์เยื่อบุชั้นในของกระจกตา เช่น Fuchs’ dystrophy ปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนรับวัคซีน และเข้ารับการตรวจวัดจำนวนเซลล์ด้วยกล้องสเปคคิวลาร์ไมโครสโคปี (specular microscopy) เพื่อประเมินความเสี่ยงล่วงหน้า
ทั้งนี้ วัคซีนของไฟเซอร์ยังมีรายงานเกี่ยวกับผลข้างเคียงอื่น ๆ ที่เคยถูกรัฐบาลสหรัฐฯ บังคับให้เพิ่มคำเตือนเพิ่มเติมบนฉลาก โดยเฉพาะเกี่ยวกับการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ (myocarditis) และเยื่อหุ้มหัวใจ (pericarditis) ซึ่งพบได้ในกลุ่มชายอายุ 16–25 ปี แม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง