TU โชว์ Q2/68 กำไรสุทธิ 1,273 ล้าน โต 4.4% ปันผลครึ่งปีแรก 0.35 บาท/หุ้น
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 บริษัทมีกำไรสุทธิปรับปรุงอยู่ที่ 1,506 ล้านบาท (ไม่รวม transformation costs) เพิ่มขึ้น 13.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจและการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับแรงหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงเป็นประวัติการณ์ และการบริหารต้นทุนอย่างมีวินัย ดันกำไรสุทธิต่อหุ้นเติบโต 18%
ทั้งนี้ การที่บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.7% ในไตรมาส 2 ได้ปัจจัยสนับสนุนจากการบริหารพอร์ตผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ และต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ในขณะที่กำไรสุทธิตามที่ประกาศอยู่ที่ 1,273 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจโลก และการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โปรเจกต์ทรานส์ฟอร์มเมชั่นของเรากำลังแสดงผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม เราได้ปรับเปลี่ยนองค์กรให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การมุ่งเน้นเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจหลักของเรา ช่วยสร้างการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นได้อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอนาคตที่คาดเดาได้ยาก” นายธีรพงศ์ กล่าว
ในไตรมาส 2/2568 บริษัทมียอดขายรวมกว่า 33,389 ล้านบาท ลดลง 5.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลกระทบเชิงลบจากอัตราแลกเปลี่ยน 4.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และการลดลงของยอดขายจากการดำเนินงานปกติ 0.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากการลดลงของยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง เนื่องจากความต้องการซื้อที่ชะลอตัวในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ยอดขายในกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป อาหารสัตว์ และกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป มียอดขายรวม 16,597 ล้านบาท และปริมาณการขายยังคงทรงตัว อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้น 22% จากราคาวัตถุดิบปลาที่ลดลง และความสำเร็จจากแคมเปญส่งเสริมการตลาดของแบรนด์ต่างๆ ของบริษัท
ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง มียอดขายรวม 10,034 ล้านบาท สืบเนื่องจากความต้องการกุ้งในตลาดสหรัฐฯ ที่ลดลง อย่างไรก็ดี กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์ยังคงสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับที่น่าพอใจที่ 11.7% ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง มียอดขายรวม 4,387 ล้านบาท โดยปริมาณการขายเติบโต 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการของลูกค้ารายสำคัญในสหรัฐฯ อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับที่ดีที่ 25.6%
ทางด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า มียอดขายรวม 2,371 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นยังคงความแข็งแกร่งที่ 26.3% จากอัตรากำไรที่สูงขึ้นในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์ที่มาจากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบเหลือใช้จากการผลิต
สำหรับครึ่งแรกของปี 2568 กำไรสุทธิตามที่ปรับปรุงเพิ่มขึ้น 11.2% อยู่ที่ 2,823 ล้านบาท และกำไรสุทธิตามที่ประกาศอยู่ที่ 2,292 ล้านบาท ลดลง 3.4% ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในครึ่งปีแรกอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.3%
แจกปันผลครึ่งปีแรก 0.35 บาท/หุ้น
โดยบริษัทได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตรา 0.35 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลที่ 59% กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 15 ส.ค.2568 และจ่ายปันผลวันที่ 1 ก.ย.2568
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทยังได้ดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นครั้งที่ 4 เสร็จสมบูรณ์ โดยซื้อคืนหุ้นคิดเป็น 8.98% ของทุนชำระแล้ว สะท้อนเจตนารมณ์ของบริษัทในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว
เตรียมมาตรการรับมือภาษีสหรัฐฯ 19%
ส่วนกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 19% สำหรับสินค้าที่จัดส่งหลังวันที่ 7 ส.ค.2568 บริษัทได้เตรียมมาตรการรับมือภาษีดังกล่าว โดยมุ่งใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการผลิตที่กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมฐานการผลิตใน 14 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐฯ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของห่วงโซ่การผลิต และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการทางภาษี
โดยโรงงานของไทยยูเนี่ยนในประเทศไทย กานา และเซเชลส์ ได้รับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ 19%, 15% และ 10% ตามลำดับ ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันที่ทัดเทียมหรือเหนือกว่าผู้ส่งออกรายใหญ่อื่นๆ เช่น อินโดนีเซีย (19%) และเวียดนาม (20%)
หั่นเป้ายอดขายปี 68 เซ่นภาษีสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 1 ส.ค.2568 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้มาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 19% ซึ่งแม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ แต่ช่วยให้เกิดความชัดเจนและผ่อนคลายความกังวลจากการคาดการณ์ก่อนหน้าที่อาจสูงกว่าอัตรานี้ มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลต่อธุรกิจโดยรวมของไทยยูเนี่ยน โดยเฉพาะการส่งออกไปยังสหรัฐฯ
ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับเป้าหมายผลการดำเนินงานปี 2568 ให้สะท้อนผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยใช้การคิดอัตราภาษีนำเข้าในอัตรา 10% ช่วงเดือนเม.ย.-ก.ค.2568 และ 19% ในช่วงเดือน ส.ค.-ธ.ค.2568 ดังนี้
มิตซูบิชิฯ เพิ่มสัดส่วนถือหุ้น TU เป็น 20%
นอกจากนี้ บริษัท และ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ได้มีการเข้าลงนามในสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ ซึ่งเป็นการต่อยอดความร่วมมือที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2534 เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ความยั่งยืน และความเป็นเลิศในระดับโลก ภายใต้สัญญาความร่วมมือดังกล่าว มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน TU อีก 532,273,639 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 13.81% จาก 6.19% เป็น 20% (ไม่นับรวมหุ้นซื้อคืน) ผ่านการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั่วไป ในราคา 12.50 บาทต่อหุ้น
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่างไทยยูเนี่ยนและมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ตั้งอยู่บนรากฐานของความไว้วางใจที่สั่งสมมายาวนานหลายทศวรรษ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจและวิสัยทัศน์ร่วมกันของทั้งสองบริษัท ในการขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก
“เราจะร่วมกันเร่งสร้างการเติบโต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืนให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก เราเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้จะสามารถสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย และตอกย้ำสถานะของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมอาหารทะเล” นายธีรพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไทยยูเนี่ยน โดยมิตซูบิชิยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 4 มีตัวแทนนั่งในคณะกรรมการบริษัทตามเดิม และไม่มีผลต่อโครงสร้างทีมผู้บริหารระดับสูงของไทยยูเนี่ยน
ผนึกกำลังสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับการประสานความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนใน 3 ปัจจัยหลัก คือ
1. การคว้าโอกาสในการสร้างการเติบโตจากความต้องการอาหารทะเลและโซลูชันด้านโภชนาการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก การผสานจุดแข็งของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้ผลิตอาหารทะเลแปรรูประดับโลก เข้ากับเครือข่ายการจัดหาและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งของมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงวัตถุดิบในต้นทุนที่แข่งขันได้ และเสริมความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน
2. สร้างการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรมในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่ตลาดมีความต้องการสูง รวมทั้งการต่อยอดธุรกิจที่มีศักยภาพสูง เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งล้วนสอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
3. ร่วมกันผลักดันเป้าหมายด้านความยั่งยืน ด้วยการประสานกลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของไทยยูเนี่ยน เข้ากับมาตรฐานด้านความยั่งยืนระดับโลกของมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น เพื่อขับเคลื่อนความสำเร็จร่วมกัน ทั้งในด้านการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ สวัสดิภาพแรงงาน และการรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อผู้คนและโลก