ดร.ณัฏฐ์ ผ่ากลไกฮั้วเลือก สว.สีน้ำเงิน ชี้อำนาจสภาสูงไม่ตอบโจทย์ประชาชน!
นักกฎหมายมหาชนเตือนปมฮั้ว สว.สีน้ำเงิน และคดีคลิปเสียงนายกฯ คือ “สงครามตัวแทน” ระหว่างการเมืองสองสี เผยสภาสูงที่ได้มาผิดครรลองอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือขัดขวางการเมืองในสภาล่าง กำหนดองค์กรอิสระ และบิดเบือนเจตนารมณ์ประชาชน
16 สิงหาคม 2568 - สืบเนื่องจากคดีทุจริตเลือก สว.สีน้ำเงิน อยู่ระหว่างพิจารณาของ กกต. ยังไม่อาจกำหนดทิศทางของประเทศว่า เมื่อใด ที่ กกต.จะวินิจฉัยชี้ขาด กลุ่ม สว.สีน้ำเงินและบุคคลภายนอก จำนวน 229 คน ประกอบ ทั้ง สส.พรรคภูมิใจไทย หรือ กก.บห.พรรคภูมิใจไทย หรืออดีตรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย หรือ นายก อบจ.นครศรีธรรมราช หรือแกนนำของพลพรรค “สีน้ำเงิน” อย่าง นายเนวิน ชิดชอบ ปธ.สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
ขณะเดียวกันพรรคการเมืองในฝ่าย “สีแดง” ความร้อนแรงทางการเมืองเกมจะจบหรือไม่ ในคดีคลิปสนทนา ระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกับนายฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา อยู่ระหว่างพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญ โดยศาลนัดไต่สวนพยาน 2 ปาก กำหนดวันลงมติ และอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 15.00 น. ทำให้อุณหภูมิทางการเมืองไทยร้อนแรง ทำให้เกิดคำถามดังทั่งประเทศว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ในขณะฝ่าย สว.สีน้ำเงิน กกต.จะเชือดไก่ให้ลิงดูหรือไม่
ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะว่า กลไกรัฐธรรมนูญ หากถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในทางการเมือง อาจเกิดความสับสนว่า การเมืองประเทศไทยจะไปสู่ทิศทางใด เพราะมีแต่กับดัก และการใช้ระบบรัฐสภา องค์กรอิสระ และศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเครื่องมือโดยไม่สุจริตหรือไม่ ตนจะชำแหละให้เห็นว่า ปมร้อน 2 เรื่องนี้ ผลประโยชน์ตกแก่กลุ่มใด และประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร หากย้อนไปในอดีต ได้นำ ปอ.มาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อล้มล้างศัตรูทางการเมือง
ปมร้อนนั้นมองในแง่มิติทางการเมือง เป็นการเปิดเกมต่อสู้เป็นสงครามตัวแทนระหว่างการเมือง 2 พรรคการเมือง หรือ 2 สี ระหว่าง สี“แดง” กับ สี“น้ำเงิน”
ตนไม่ได้อยู่ฝ่ายใด เป็นกลางทางการเมืองของทุกฝ่าย แต่การให้ความรู้ ในแง่มิติทางกฎหมายมหาชน แต่กองเชียร์ทั้งสองฝ่ายมีทั้ง กองเชียร์และกองแช่ง แต่การ ติดตามการเมือง ต้องอยู่บนพื้นฐาน “หลักนิติรัฐ” “นิติธรรม” ยึด “หลักความถูกต้อง” ไม่ใช่เป็นไป อารมณ์ร่วมทางการเมือง เพระผลประโยชน์ไม่ได้ตกที่ประชาชน
ระบบโครงสร้างการเมืองใน “ระบบรัฐสภา” โดยให้ถือรัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นใหญ่ ในประเทศไทย กับวิธีการออกแบบ “รัฐธรรมนูญ” ไม่ว่าในยุคการเมืองใด มีผลต่อการกำหนดทิศทางของประเทศ เพราะเป็นกลไกของรัฐธรรมนูญที่ได้กำหนดวิธีการ ขั้นตอน และหลักเกณฑ์ไว้
โดย รธน.2540 ได้เพิ่มบทบัญญัติให้มี “องค์กรอิสระ” และ “ศาลรัฐธรรมนูญ” เพื่อทำหน้าที่ในการถ่วงดุลและตรวจสอบฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร เป็นการปฏิรูปโครงสร้างการเมืองใหม่ จากระบบรวมศูนย์ มาเป็นการกระจายอำนาจ ให้แก่ภาคประชาชน ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐได้ แตกต่างจากรูปแบบโครงสร้างการเมืองในอดีตที่ผ่านมา
จะเห็นได้จาก วิธีคิดในการออกแบบให้ “ฝ่ายนิติบัญญัติ” ทั้ง สส.หรือ สว. มีอำนาจและหน้าที่ในการตรวจสอบฝ่ายนิติบัญญัติด้วยกันเองหรือตรวจสอบฝ่ายบริหาร จะเห็นได้จาก การใช้ช่อง รัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคท้ายประกอบมาตรา 82 ตรวจสอบพฤติกรรมของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยใช่ช่องคุณสมบัติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160(4)(5) โดย รธน.ฉบับปราบโกง มาตรา 82 วรรคสอง เพิ่มอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวได้
การออกแบบ “สว.” ให้มีอำนาจกลั่นกรองกฎหมาย และให้มีอำนาจเห็นชอบบุคคล ที่จะดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระและองค์กรที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยใช้หลักเกณฑ์ “มติเสียงเกินหนึ่ง” เป็นหลักสำคัญ
บทบัญญัติการประชุมร่วมของสภา โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 156 บัญญัติให้ อำนาจ สว.มีอำนาจหลากหลาย มีผลต่อการกำหนดทิศทางของประเทศ ทำให้เกิดคำถามว่า ประเทศไทยควรมีสภาสูงหรือไม่ หากมีสภาสูง จะต้องสรรหาหรือเลือกตั้งกันแน่ เพราะตัวอย่างให้เห็น สว.ชุดล่าสุด ทำให้เกิดคำถามว่า ไม่ได้เกิดจากตัวแทนประชาชน และกระบวนการที่มาผิดฝาผิดตัวและเปิดช่องทุจริต ทำให้ได้ สว.ที่ขาดไร้คุณภาพและรับใช้การเมืองบางกลุ่ม ที่มีอำนาจสั่งการ
การเปิดช่องให้ผู้สมัครหาเสียงกันเองและที่มาของกลุ่มอาชีพ ทำให้เกิดช่องทุจริตการเลือก สว.ขึ้นโดยการฮั้วเกิดขึ้น ทำให้บางกลุ่ม บางคนที่ได้มา โดยการทุจริตการเลือก สว.
ซ้ำหนัก ในคดีการเลือกตั้งหรือการเลือก ของ กกต.องค์กรอิสระ มีระบบการตรวจสอบคดีกลั่นกรอง3 ชั้น ได้แก่ คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะอนุกรรมการวินิจฉัยฯและ ที่ประชุม กกต. ก่อให้เกิดขั้นตอนยุ่งยากและใช้เวลานาน ที่ประชุม กกต.ใช้มติเสียงข้างมาก ในขั้นตอนสุดท้าย ทำให้ผลคดีล่าช้า ออกบวกหรือลบก็ได้ ไม่ถูกใจคอการเมือง ไร้ทิศทางการควบคุม
ในขณะเดียวกัน การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญต่อคดีรัฐธรรมนูญ ใช้ระยะเวลารวดเร็ว หากไม่ได้ใช้ไต่สวนปกติ ทำให้ศาลตัดสินไว เหตุที่เป็นเช่นนี้ อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเปิดกว้าง ตาม พรป.วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 ประกอบข้อกำหนดวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2562 หากเป็นข้อกฎหมาย หรือข้อเท็จจริงที่ฝ่ายผู้ร้องและผู้ถูกร้องชี้แจงเพียงพอ ย่อมใช้มติเสียงข้างมาก “งดไต่สวน”และนัดชี้ชะตาได้ทันที
ส่วนคดีของนางสาวแพทองธารฯ นายกรัฐมนตรี ศาลให้ความเป็นธรรม ในการรับฟังพยานและไต่สวนพยาน 2 ปาก โดยกระชับอำนาจ นัดลงมติและชี้ขาดทันที เป็นการปิดเกมไว
คดีฮั้ว สว.สีน้ำเงิน คาบเกี่ยว 2 องค์กร คือ “กกต.”และ “ปปช.” รัฐธรรมนูญมาตรา 215 วรรคสอง บัญญัติว่า การปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขององค์กรต้องเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม “กล้าหาญ” และปราศจากอคติทั้งปวง ในการใช้ดุลพินิจ
แต่ปัจจุบัน คดีฮั้ว สว.อยู่ในขั้นตอน เลขาธิการ กกต.มอบอำนาจให้รองเลขาธิการ กกต.ดำเนินการแทน ยังไม่ถึงขั้นตอนที่มอบให้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยฯ เพราะมีขั้นตอนยุ่งยาก ทำให้ฝ่าย กกต.ยกขึ้นอ้างว่า มีเอกสารจำนวนมากและพิจารณาอย่างรอบคอบให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ทำให้ไม่ถูกใจคอการเมือง เพราะเมื่อไหร่ กกต.จะเชือดเสียที ลุ้นแล้วลุ้นอีก
แต่การถอดถอนออกจากตำแหน่ง ต่อศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเกมเกลือจิ้มเกลือ เป็นช่องทางลัด ทางด่วน ถูกใจคอการเมือง และศาลตัดสินไว และได้ผลเร็ว จึงจำเป็นใช้ช่องทางพิเศษ
หากดูช่องทางการทุจริต สว. เป็นการได้มาซึ่งอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติขัดต่อรัฐธรรมนูญและผิด พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. โดย สว.กลุ่มนี้ เข้าวิน 138 คน มีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง มีผลโดยตรงต่อการกำหนดทิศทางของประเทศ ดังนี้
(1) กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในสภาสูงเพราะมีเสียงข้างมาก (2) มีอำนาจกำหนดตัวบุคคล ในองค์กรอิสระและองค์กรตามรัฐธรรมนูญว่า บุคคลที่ผ่านการสรรหาจะต้องเป็นคนของตนเองและสั่งการให้คุณให้โทษได้
(3) การใช้อำนาจตรวจสอบ ฝ่ายนิติบัญญัติด้วยกัน หรือตรวจสอบฝ่ายบริหารด้วยกัน ย่อมใช้สว.กลุ่มนี้ ไปทำการตรวจสอบเพื่อแก้เกมการเมืองและเป็นช่องทางเปิดเกมและปิดเกม รวดเร็วที่สุด เป็นยาแรง มีผลออกฤทธิ์เร็ว (4) ขัดขวางกฎหมายสำคัญของฝ่ายบริหารที่เป็นนโยบายหลัก เพราะ สว.เสียงข้างมากมีอำนาจยับยั้ง ร่าง พรบ. ทำให้ประเทศพัฒนาล่าช้า (5) ขัดขวางการแก้ไขเพิ่มเติม รัฐธรรมนูญ เพราะในการแก้ไข รัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ต้องมี สว.หนึ่งในสามหรือ 67 คน ทำให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่ออกแบบ สสร.และออกแบบรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะเสียง สว.เสียงข้างน้อยไม่เพียงพอ
ส่วนผลประโยชน์ทางอ้อมในกลุ่มการเมืองที่มีอำนาจเหนือสภาสูงเสียงข้างมาก สว.มีอำนาจในการแต่งตั้งผู้ช่วยจำนวน 8 คน โดยใช้งบประมาณของรัฐ แต่กลุ่มมีอำนาจเหนือ สว.อาจใช้ช่อง แต่งตั้งคนของตนเองทั้งหมดหรือบางส่วน และนำเงินค่าตอบแทนที่ได้รับจากรัฐ รวบรวมส่งมอบ เป็นการ “ถอนทุนคืน” และ “ทุจริตงบประมาณรัฐ”ประการหนึ่ง ให้แก่บุคคลที่มีอำนาจสูงสุด โดยผู้ช่วย สว.อาจดำรงตำแหน่ง ปีต่อปี อาจเปลี่ยนคน หรือ ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งอยู่ แต่ไม่ได้รับค่าตอบแทนรายเดือน.