ถกงบกระทรวงมหาดไทยเดือด กรวีร์ถามตัดงบท้องถิ่น 1.4 พันล้าน ใช้เกณฑ์อะไร ถือโพยเข้าห้องประชุมหรือไม่ พนมตอบเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล
วานนี้ (14 สิงหาคม) ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระที่ 2-3 วงเงิน 3,780,600 ล้านบาท ในระหว่างวันที่ 13-15 สิงหาคม ซึ่งเป็นการพิจารณาเป็นรายมาตรา (วาระ 2) เป็นวันที่สอง
ช่วงเวลา 21.25 น. กรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นอภิปรายมาตรา 20 กระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะงบของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พร้อมตั้งคำถามถึง กมธ. ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยว่า ตนได้ยินแต่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง มี กมธ. บางคน ชื่อย่อ พ. ชื่อเล่น ก. เมื่อถึงเวลาการพิจารณางบ จะมีกระดาษมาปึกหนึ่ง ขานโครงการต่างๆ และตัดไปถึง 1,400 โครงการ โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเลขที่ขานไปนั้นเป็นโครงการอะไร อยู่ที่ไหน และพิจารณาตามหลักเกณฑ์หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องรุนแรง และเชื่อว่ารัฐสภาต้องรับรู้ร่วมกัน
กรวีร์ กล่าวว่า ตนเองไม่แน่ใจว่าบุคคลที่ถูกกล่าวถึงนั่งอยู่บนบัลลังก์หรือเป็นบุคคลภายนอก หากอยู่บนบัลลังก์ควรขึ้นมาชี้แจงว่า ข้อเท็จจริงที่ตนได้ยินเป็นเรื่องโกหก การพิจารณางบประมาณไม่ได้ทำแบบลวกๆ หรือทำตามใบสั่ง ท่านไม่สงสาร อบต. บ้างเหรอ ตอนเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ อบต. ต้องใช้เงินสำรองจ่ายก่อน แต่พอถึงเวลาพิจารณางบประมาณกลับถูกปรับลด ทำให้ตนไม่รู้จะตอบคำถามท้องถิ่นทั่วประเทศอย่างไร
จากนั้น พนม โพธิ์แก้ว สส. กาญจนบุรี ในฐานะ กมธ. เสียงข้างมาก ลุกขึ้นชี้แจงว่า ในห้องคณะอนุ กมธ. ท้องถิ่น เทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตำบล และเงินอุดหนุนที่จัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (องค์การบริหารส่วนตำบล) ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นนั้น ประกอบด้วย ตัวแทนของพรรคการเมืองจากทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน โดยที่ไม่มีอนุ กมธ. คนใดเห็นแย้ง
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งมีหน่วยรับงบประมาณจำนวน 5,299 แห่ง ได้รับคำสั่งจากประธานอนุ กมธ. ให้ส่งเอกสารล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 วัน เพื่อให้ กมธ. พิจารณาอย่างรอบคอบ เอกสารดังกล่าวถูกส่งเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม และกำหนดพิจารณางบประมาณในวันที่ 23 กรกฎาคม ซึ่งถือว่าต่างจากปีที่แล้วที่นัดพิจารณาในวันถัดไปเลย
พนมยืนยันว่า การปรับลดงบประมาณดังกล่าวเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ที่เป็นธรรม และสอดคล้องกับความเห็นของกมธ. เสียงข้างมาก
จากนั้น กรวีร์ ลุกขึ้นใช้สิทธิพาดพิงว่า ตนได้ตั้งข้อสังเกต และสอบถาม กมธ. เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณางบประมาณของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นถึงเหตุการณ์ภายในห้องอนุ กมธ. แต่ยังไม่ได้รับคำตอบว่า มีการหยิบกระดาษ และไล่เลข เพื่อตัดงบประมาณ ซึ่งเป็นวิธีการที่ยุติธรรม และสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลหรือไม่ ซึ่งโดยที่ตนเองก็ยังไม่ได้รับคำตอบ
ทำให้ วัชระพล ขาวขำ สส. อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วง โดยระบุว่า การอภิปรายครั้งนี้ไม่ใช่การตั้งกระทู้ถาม จึงไม่จำเป็นต้องถาม และตอบไปมา เนื่องจาก กมธ. ทุกคนได้ชี้แจง และตอบอย่างชัดเจนแล้ว หากยังไม่เห็นด้วย ก็ควรนำเรื่องลงมติในสภา ขณะที่ ฉลาด ขามช่วง ในฐานะรองประธานสภาคนที่สอง เห็นด้วยกับข้อสังเกตดังกล่าว โดยระบุว่า ไม่ควรให้เกิดการถามไปตอบมาในลักษณะนี้
จากนั้น นิตยา มีศรี สส. สมุทรปราการ พรรคประชาชน ลุกขึ้นใช้สิทธิพาดพิง โดยชี้แจงว่า ในห้องอนุ กมธ. ดังกล่าว มีตัวแทนจากทุกพรรคการเมือง ยืนยันว่าตนเองเป็นหนึ่งในอนุ กมธ. ในฐานะเสียงข้างน้อย และในช่วงเวลาที่มีการพิจารณาตัดงบประมาณ และขานชื่อโครงการต่างๆ นั้น ตนเองไม่ได้อยู่ในห้องประชุม จึงขออนุญาตชี้แจงให้ทราบ
ต่อมา ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สส. กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย ได้ตั้งคำถามต่อ กมธ. เกี่ยวกับงบประมาณท้องถิ่นในพื้นที่ของตน ซึ่งถูกตัดออกไป 100% โดยสอบถามเหตุผลว่าทำไมจึงตัดทั้งหมด ซึ่งการตัดงบประมาณในอำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นผลจากข้อพิพาทระหว่างผู้รับเหมากับหน่วยงานในพื้นที่ที่ยังไม่เรียบร้อยหรือไม่ หากกมธ. ไม่ตอบคำถาม ตนถือว่าข้อเท็จจริงที่สอบถามเป็นจริง
ต่อมา ชาดา ไทยเศรษฐ์ สส. อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ลุกขึ้นกล่าวว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณางบประมาณปี 2569 วาระสอง มีผู้แปรญัตติและร่างทรงของรัฐมนตรีมาตอบก่อนที่ กมธ.จะได้ตอบ ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมการประชุมที่ไม่ถูกต้อง
ชาดากล่าวต่อว่า การให้ สส. ลูกน้องของรัฐมนตรีลุกขึ้นมาแก้หน้าแทน รวมถึงการใช้โทรศัพท์ในห้องประชุมก่อนหน้านี้ ถือเป็นการละเมิดบทบาท หากปล่อยให้เกิดพฤติกรรมเช่นนี้ต่อไป จะสร้างความแตกแยกและความวุ่นวายจนควบคุมไม่ได้ สมาชิกควรถาม กมธ. โดยตรง และกมธ. ควรเป็นผู้ตอบคำถามเกี่ยวกับงบประมาณ พร้อมแสดงความกังวลว่า หากไม่มีการยึดกติกาและมารยาทในการประชุม อาจทำให้เกิดความสับสนและความวุ่นวายภายในสภา
กรวีร์ ได้ลุกขึ้นอีกครั้ง พร้อมกล่าวว่า กมธ.ต้องตอบคำถามตน โดยตอบแค่ว่า สิ่งที่ตนพูดไปเป็นพฤติกรรม พฤติการณ์จริงหรือเท็จเท่านั้น ถ้าไม่ได้เกิดขึ้นก็บอกไม่ได้เกิดขึ้น
พนม จึงลุกขึ้นชี้แจงอีกครั้ง โดยย้ำว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่อนุกมธ. ได้รับจากกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 มีเวลาในการศึกษารวม 10 วัน ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของคณะกมธ. งบประมาณปี 2569 ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2568
เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารจากตัวเล่มของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตนถ่ายเอกสารมาเพื่อให้ กมธ. ตรวจสอบรหัสโครงการได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้อ่านรายละเอียดทั้งหมด เพราะจะใช้เวลานาน พร้อมยืนยันว่าในวันนั้นไม่ได้มีการลงมติใดๆ และอนุกมธ. คนอื่นก็ไม่ได้แสดงความเห็นแย้ง
สุดท้าย ฉลาด ในฐานะรองประธานสภาคนที่สอง กล่าวต่อห้องประชุมให้เข้าสู่การลงมติ ขณะที่กรวีร์แย้งขึ้นว่า จะให้ลงมติไม่ได้ เนื่องจากยังมี สส.ยังสอบถาม และไม่สิ้นสงสัย ทำให้มีผู้มาแสดงตน 251 คน และสามารถลงมติเห็นชอบตาม กมธ.เสียงข้างมากได้ จากนั้นได้พิจารณาในมาตรา 21 กระทรวงยุติธรรม