‘จตุพร’ ลงพื้นที่ 3 จังหวัด (พิษณุโลก-พิจิตร-นครสวรรค์) ดูแลราคาสินค้า-ลดต้นทุนเกษตรกร-แก้ปัญหาราคาข้าว
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดพิจิตร และจังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2568 เพื่อติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค รับฟังปัญหาเกษตรกร และหารือกับผู้ประกอบการ เกี่ยวกับการผลิตและการจำหน่ายข้าว อีกทั้งยังได้ประชาสัมพันธ์โครงการ “ธงเขียว” ซึ่งถือเป็นมาตรการสำคัญในการลดต้นทุนภาคการเกษตร
ภารกิจแรก นายจตุพรได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมตลาดเทศบาล 1 (ตลาดใต้) อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก โดยพบว่าราคาสินค้าอยู่ในเกณฑ์ปกติ เช่น หมูเนื้อแดงกิโลกรัมละ 160–180 บาท สามชั้นกิโลกรัมละ 180–200 บาท อกไก่และสะโพกไก่กิโลกรัมละ 90–100 บาท ไข่ไก่เบอร์ 0 แผงละ 150 บาท และเบอร์ 4 แผงละ 110 บาท เป็นต้น
“พบว่าบรรยากาศการค้าคึกคัก ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือรักษาระดับราคาและคุณภาพสินค้าอย่างดี” นายจตุพรกล่าว พร้อมย้ำว่าการควบคุมราคาสินค้าอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ประชาชนสามารถจับจ่ายได้ตามปกติ นายจตุพรกล่าว
นอกจากนี้ รมว.พาณิชย์ยังได้ร่วมมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในอำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก โดยระบุว่า กระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าภายใน (DIT) ได้นำโครงการ “ธงฟ้าราคาประหยัด” ลงพื้นที่เพื่อช่วยลดค่าครองชีพ พร้อมทั้งบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากอุทกภัย ผ่านการจำหน่ายสินค้าจำเป็น เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำตาล ไข่ไก่ และข้าวสาร ในราคาพิเศษ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า“นอกจากการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคแล้ว ยังได้ประชาสัมพันธ์โครงการใหม่ ‘ธงเขียว’ ที่มุ่งลดต้นทุนให้เกษตรกรด้วยการจำหน่ายปุ๋ยและยาฆ่าแมลงในราคาถูกกว่าท้องตลาด เช่น ปุ๋ยลดราคากว่า 200 บาทต่อกระสอบ ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของเกษตรกรไทยในระยะยาว”
จากนั้น นายจตุพรและคณะได้เดินทางต่อไปยังจังหวัดพิจิตร เพื่อตรวจเยี่ยมสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) “ส้มโอ” พร้อมพบปะเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะ โดยได้เผยแพร่มาตรการสนับสนุนด้านการผลิตและการตลาด เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงแก่ชุมชน
ในระหว่างการพูดคุย นายจตุพรได้เน้นย้ำให้เกษตรกรติดตามโครงการ “ธงเขียว” ที่จะเดินหน้าลดต้นทุนการผลิต พร้อมทั้งยินดีช่วยเหลือพัฒนาคุณภาพสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทย
ภารกิจสุดท้ายของการลงพื้นที่ครั้งนี้ คือการเดินทางไปยังอำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อหารือกับผู้ประกอบการค้าข้าวและโรงสี เกี่ยวกับสถานการณ์ราคาข้าวที่ตกต่ำเหลือเพียง 5,000–6,000 บาทต่อเกวียน ขณะที่ต้นทุนการผลิตยังสูง เกษตรกรจึงเรียกร้องให้ราคาข้าวปรับขึ้นเป็น 8,000 บาทต่อเกวียน เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและความมั่นคงในอาชีพ
นายจตุพรเปิดเผยว่า “การประชุมกับโรงสีนครสวรรค์มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการรับซื้อ เช่น การพิจารณาความชื้น ปริมาณ และคุณภาพข้าว ซึ่งต้องดำเนินควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจปัญหาของเกษตรกร ทั้งนี้ การแก้ปัญหาราคาข้าวต้องเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ โดยในส่วนแรก กระทรวงพาณิชย์จะเดินหน้า ลดต้นทุนการผลิตภาคเกษตรผ่านโครงการ ‘ธงเขียว’ พร้อมประสานงานกับกระทรวงเกษตรฯ เพื่อพัฒนา ศักยภาพการผลิต ให้แข่งขันได้กับข้าวต่างประเทศ”
นอกจากมาตรการลดต้นทุนแล้ว ส่วนที่สอง กระทรวงพาณิชย์ยังได้สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศเร่งเจรจาหาตลาดส่งออกเพิ่ม ทั้งในจีน ซาอุดีอาระเบีย และญี่ปุ่น เพื่อเพิ่มปริมาณการขายและสร้างเสถียรภาพด้านราคาในระยะยาว สำหรับประเด็นมาตรการชดเชยให้ชาวนา นายจตุพรได้ตอบคำถามสื่อมวลชนว่า รัฐบาลมีแนวทางจ่ายชดเชยให้ชาวนาผู้ปลูกข้าวนาปรังในอัตราไร่ละ 1,000 บาท โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) วันที่ 13 ส.ค.นี้