โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

ล้วงลึกบริการ ‘เสริมความงาม’ แสวงหา 'ความสวย' ที่ 'ไม่เสี่ยง'

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 17 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ธุรกิจเสริมความงามในประเทศไทยได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีจำนวนคลินิกเสริมความงามเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงบริการเหล่านี้ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น แม้กระทั่งในศูนย์การค้าขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้กลับมาพร้อมกับคำถามสำคัญเกี่ยวกับมาตรฐานและคุณภาพในการให้บริการ ที่จะส่งผลด้านความปลอดภัยของผู้บริโภคที่เข้ารับบริการ

ฮับเสริมความงาม มูลค่า 1 แสนล้าน

ตามแผนขับเคลื่อนนโยบาย “เมดิคัลและเวลเนสฮับ” บริการสุขภาพและเวชศาสตร์ความงาม เป็นหนึ่งบริการทางการแพทย์จะถูกผลักดันให้คนมารับบริการในไทยมากขึ้น เนื่องจากมูลค่าตลาดโลก ปี 2564 อยู่ที่ 1.96 ล้านล้านบาท ประเทศไทย ปี 2564 อยู่ที่ 50,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องประมาณ 10% ในช่วงปี 2565-2573 และคาดว่า ในปี 2573 มูลค่าทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 115,000 ล้านบาท

จากมาตรการ 1.ยกระดับคลินิกเสริมความงามให้มีคุณภาพมาตรฐาน มีหลักสูตรกลางของประเทศ 2.ส่งเสริม ให้ผู้ประกอบการไทยในการผลิต ผลิตภัณฑ์ สำหรับหัตถการเสริมความงาม และ3. พัฒนาระบบเอเจนซี่ เชิญชวนชาวต่างชาติมารับบริการเสริมความงาม

ร้องเรียนบริการเสริมความงาม

อีกด้านหนึ่งที่เกิดขึ้น สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้เปิดเผยว่าระหว่างเดือนมกราคม 2565 ถึงสิงหาคม 2568 มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับบริการเสริมความงามรวมสูงถึง 1,188 เรื่อง ปัญหาเหล่านี้มีหลากหลายลักษณะ ตั้งแต่การโฆษณาที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือเป็นเท็จเกินจริง, บริการที่ไม่ได้มาตรฐาน, ราคาที่แพงเกินจริง, การถูกหลอกให้ซื้อสินค้าและบริการ, การไม่ระบุข้อมูลที่จำเป็น เช่น ราคาหรือคำเตือน, การใช้ข้อความที่ไม่ตรงต่อความจริง, และที่พบมากที่สุดคือ คลินิกปิดกิจการโดยไม่แจ้งให้ผู้บริโภคทราบ ซึ่งมีจำนวนมากถึง 999 เรื่อง

ตอกย้ำถึงความเร่งด่วนในการยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของธุรกิจเสริมความงาม เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความปลอดภัยสูงสุดและสร้างความเชื่อมั่นให้กับวงการแพทย์ไทยโดยรวม
ทั้งนี้ การอนุญาตให้เปิดคลินิกเสริมความงามตามพ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ก็ใช้กฎเกณฑ์ไม่ต่างจากการเปิดคลินิกเวชกรรมทั่วไป ไม่ได้แยกประเภทเฉพาะ จึงไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่า ปัจจุบันมีสถานพยาบาลที่ให้บริการเสริมความงามในประเทศไทยจำนวนมากน้อยเพียงใด

หากจะระบุโดยกว้างๆถึงบริการเสริมความงาม แยกเป็น 2 ลักษณะ

1.หัตถการเสริมความงาม คือ การเสริมความงามให้ร่างกาย ด้วยการใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น ฉีดสิว ผลัก วิตามินสู่ผิว ฉีดโบท็อกซ์/ฟิลเลอร์ ร้อยไหม และเลเซอร์ ต่าง ๆ

2.ศัลยกรรมเสริมความงาม คือ การตกแต่งเพื่อเปลี่ยนแปลงส่วนต่าง ๆของร่างกาย ให้มีลักษณะที่เหมาะสมและสวยงามขึ้น ด้วยกระบวนการผ่าตัด การปลูกถ่าย และการฉีดสาร

จากความนิยมรับบริการเสริมความงามที่มากขึ้นนี้ ก็ปรากฎบ่อยครั้งถึงการ “ลักลอบ”เปิดคลินิกเสริมความงาม โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เข้าข่ายเป็น “คลินิกเถื่อน”

บุคลากรไม่พอ ฝึกกันเอง แย่งแพทย์จากระบบ

แต่ถึงแม้จะเป็น “คลินิกที่ได้รับอนุญาตถูกต้อง” ก็ถูกต้องคำถามเรื่อง “มาตรฐานของบุคคลที่ให้บริการในคลินิก” ซึ่งหากจะยึดตามมาตรฐานวิชาชีพทางการแพทย์ การให้ทำ “หัตถการเสริมความงาม” จะต้องเป็น “แพทย์เฉพะทางด้านผิวหนัง” และ “ศัลยกรรมเสริมความงาม” ต้องเป็นศัลยแพทย์ตกแต่ง หรือแพทย์ศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า
ทว่า ด้วยข้อจำกัดด้านกฎหมายในปัจจุบัน ที่ไม่ได้กำหนดให้แพทย์ที่ให้บริการในคลินิกเสริมความงาม ต้องเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางสาขาที่แพทยสภารับรอง บวกกับแพทย์เฉพาะทางในสาขาที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยแต่ละปีผลิตได้น้อย

  • แพทย์ผิวหนัง ผลิตได้ราว 20-30 คนต่อปี
  • ศัลยแพทย์ตกแต่ง แต่ละปีผลิตได้ราว 20-30 คน
  • ศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้า ผลิตได้ราวปีละไม่ถึง 10 คน

ความไม่เพียงพอของแพทย์เฉพาะทางที่จะตอบสนองต่อการเติบโตของธุรกิจเสริมความงาม จึงเป็นช่องทางให้ “คลินิก” มองหา “แพทย์จบใหม่” เข้ามาให้บริการในคลินิกเสริมความงาม แพทย์บางคน เพียงฝึกอบรมการทำหัตถการเสริมความงามกันเองจากรุ่นพี่ในคลินิก โดยเสียค่าเรียนในอัตราสูงพอสมควร และมีความน่ากังวลว่า “แพทย์เหล่านี้”จะสามารถแก้ไขกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการทำหัตถการนั้นๆได้มากน้อยเพียงใด
หรือบางคลินิกอาจจ้างบุคลากรที่ไม่ใช่แพทย์ เช่น ผู้ช่วยหรือพนักงานทั่วไปให้ทำหัตถการที่ต้องใช้ความรู้ทางการแพทย์ขั้นสูง เช่น การฉีดฟิลเลอร์ หรือการใช้เครื่องมือเลเซอร์ เสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงร้ายแรง

ทั้งที่ คุณภาพของบุคลากรผู้ทำหัตถการ นับว่าเป็นหัวใจสำคัญของบริการเสริมความงาม ซึ่งในความเป็นจริง ผู้บริโภคจำนวนมากกลับต้องเผชิญกับผู้ให้บริการบางคนที่ขาดประสบการณ์และความรู้ที่แท้จริง

อันตรายจากใช้ผลิตภัณฑ์ปลอม

ในส่วนของผลิตภัณฑ์และเครื่องมือที่มีการใช้นั้น ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีการตรวจสอบและออกประกาศเตือนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในคลินิกเสริมความงามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลักลอบผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์ปลอมและไม่ได้มาตรฐาน เช่น โบท็อกซ์และฟิลเลอร์ ซึ่งมีราคาถูกกว่าปกติ และผู้ใช้บริการมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับสารอันตรายเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดอันตราย
ยังมีการเตือนเกี่ยวกับการใช้ยาผิดประเภท เช่น ยาฉีดกลูตาไธโอนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเพื่อวัตถุประสงค์เสริมความงาม และยาฉีดลดไขมันที่ไม่ได้รับอนุญาต รวมถึง การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือขาดการบำรุงรักษา เช่น เครื่องเลเซอร์หรือเครื่องยกกระชับผิว ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น ผิวไหม้ หรือรอยแผลเป็น

การตลาดที่สร้างความเข้าใจผิด

นอกจากนี้ การโฆษณาและการตลาดก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ก่อให้เกิดข้อร้องเรียน โดยการใช้คำโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง เช่น "ฉีดปุ๊บ สวยปั๊บ" หรือ "เห็นผลทันที" รวมถึง การจ้างรีวิวและอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งบางครั้งไม่ใช่ประสบการณ์จริง แต่เป็นการโฆษณาที่ได้รับค่าจ้าง ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดและตัดสินใจผิดพลาด

ยิ่งกว่านั้น พนักงานขายของบางคลินิกยังมีกลยุทธ์การขายที่กดดันลูกค้าให้ซื้อคอร์สในราคาที่สูงเกินจริง หรือให้ตัดสินใจทันทีโดยไม่มีเวลาพิจารณา

ขึ้นทะเบียนผู้ให้บริการ-รับรองคุณภาพคลินิก

สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำคือ ปัญหาและความกังวลเหล่านี้ ปรากฏเฉพาะใน “บางคลินิก” ไม่ได้เหมารวม “คลินิกทั้งหมด” จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแยก “น้ำดี” ออกจาก “น้ำเทา” และ “น้ำเสีย” ในวงการนี้

การแก้ไขปัญหาคุณภาพและมาตรฐานใน “ธุรกิจเสริมความงาม” จึงต้องเร่งดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อ “ผู้บริโภค” ที่จะได้รับความปลอดภัย, “ผู้ประกอบการ” ที่จะได้รับความเชื่อมั่นมากขึ้น, และประเทศชาติที่จะสร้างรายได้จากการเป็น “ฮับเสริมความงาม”.

ในประเด็น “มาตรฐานบุคลากร” มีแนวทางหนึ่งที่มีการหยิบยกขึ้นมาคือ การกำหนด “หลักสูตรกลางด้านเวชศาสตร์ความงาม” ที่จะรับรองโดย “คณะกรรมการสถานพยาบาล”. หลักสูตรนี้จะเปิดโอกาสให้แพทย์ หรือบุคลากรที่กำหนดสามารถเข้า “ฝึกอบรม” และเมื่อผ่านการอบรมจะได้รับการ “ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการเสริมความงาม”

อย่างไรก็ตาม หลักสูตรนี้ยังไม่มีความชัดเจนในหลายประเด็น เช่น “ใครสามารถเข้าอบรมได้”, “ใครสามารถให้การฝึกอบรมได้” และ “รูปแบบการฝึกอบรมจะครอบคลุมบริการไหน อย่างไร” ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งคณะทำงานพิจารณารายละเอียด

ทว่า มีข้อกังวลถึงสิ่งที่จะตามมาต่อ “ระบบสาธารณสุข” ของประเทศ คือ “หลักสูตรกลางนี้” อาจเป็นแรงจูงใจให้แพทย์ใช้ทุนที่ประสบปัญหาความอึดอัดกับภาระงานและค่าตอบแทนในระบบ เลือกที่จะลาออกจากระบบราชการ เพื่อไปทำงานในคลินิกความงามที่มีรายได้สูงกว่า จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาภาวะขาดแคลนแพทย์รักษาโรคในระบบสาธารณสุขของประเทศ

สำหรับ “คุณภาพคลินิก” ผศ. ดร.นพ.สุธีร์ รัตนะมงคลกุล คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เสนอแนะว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ควรมุ่งเน้นการสร้างมาตรฐานการรับรองคุณภาพคลินิกเสริมความงาม ผ่านสถาบันรับรองคุณภาพโรงพยาบาล (สรพ.) ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับสากลและในประเทศ
นอกจากนี้ ควรมีการจัดทำ ทะเบียนรายชื่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญออนไลน์ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบและเลือกใช้บริการได้อย่างปลอดภัย. และ สบส. ควร เข้มงวดในการกำกับดูแลการโฆษณาที่สร้างความต้องการเทียม

อาจารย์ไพศาล ลิ้มสถิต อนุกรรมการด้านบริการสุขภาพ สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้นำกรณีศึกษาจากต่างประเทศมาเปรียบเทียบ เพื่อชี้แนวทางการคุ้มครองผู้บริโภคที่เข้มแข็งขึ้น. ใน สหรัฐอเมริกา ศัลยแพทย์ตกแต่งจะต้องผ่านการฝึกอบรมแบบ Residency อย่างน้อย 2-3 ปี และสถานพยาบาลต้องได้รับการรับรองมาตรฐานก่อนทำการผ่าตัด

ส่วนใน เกาหลีใต้ สมาชิกของสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งจะต้องเป็นแพทย์ที่ผ่านการฝึกอบรมเฉพาะทางเท่านั้น. และที่สำคัญคือ รัฐสภาเกาหลีใต้ได้แก้ไขกฎหมาย Medical Service Act ในปี 2023 ให้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) ในห้องผ่าตัด และกำหนดให้มีการแจ้งข้อมูลสำคัญแก่ผู้ป่วยอย่างชัดเจนก่อนผ่าตัด เช่น ชื่อแพทย์ผู้ผ่าตัด, ทีมงาน, ผลข้างเคียง, ความเสี่ยง, และแนวทางเฝ้าระวังอาการหลังผ่าตัด

“กฎหมายไทยยังไม่มีการบังคับใช้ในเรื่องนี้ และเห็นว่าประเทศไทย ควรมีการเปิดเผยข้อมูลคลินิกเสริมความงามและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องนี้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบและเลือกใช้บริการได้อย่างปลอดภัย”

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

ยุคแบรนด์จีนรุ่งโรจน์ 'ทีซีแอล' เร่งโตตลาดทีวี มุ่งเบอร์ 1 ใน 3 ปี

6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ดีเดย์พรุ่งนี้! บังคับใช้ Liveness Detection กสทช.คุมเข้มลงทะเบียนซิมทั่วประเทศ

6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

'สตรีมมิ่งจีน' รุกอาเซียนต่อเนื่อง จ่อทำคอนเทนต์ออริจินัล แข่งสตรีมมิ่งอเมริกัน

7 ชั่วโมงที่ผ่านมา

'ETIX' ลุยลงทุนขยายดาต้าเซ็นเตอร์รับดีมานด์ AI พุ่ง

7 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความสุขภาพอื่น ๆ

‘บัฟเฟตต์’ ชี้ดูการตัดสินใจครั้งเดียว แยกคนสำเร็จ จากผู้เพ้อฝัน

กรุงเทพธุรกิจ

วี วิโอเลต เปิดใจครั้งแรก ป่วยเส้นเสียงอ่อนแรง เจ็บปวดราวโลกพังทลาย

TNN ช่อง16

ไขปม “นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ” ถูกให้ออกจากราชการ ไม่ซับซ้อน แต่ซ่อนเงื่อน

ฐานเศรษฐกิจ

การห้ามขายผลิตภัณฑ์ นิโคติน และ “รุกฆาต” ยาสูบ | นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์

กรุงเทพธุรกิจ

เจาะลึก'รพ.เมดพาร์ค' ทิศทางครึ่งปีหลัง ป้องกันเกิด 'Sudden Death'

กรุงเทพธุรกิจ

“ชัยชนะ” หนุน LANTA Model นำนวัตกรรมบำบัดผู้ป่วยยาเสพติด–จิตเวช

ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...