การห้ามขายผลิตภัณฑ์ นิโคติน และ “รุกฆาต” ยาสูบ | นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์
องค์การอนามัยโลกแถลงว่ายาสูบเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของประชากรโลกปีละกว่า 7 ล้านคน
การออกกฎหมาย “ห้ามขาย” บุหรี่ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ในเมือง เบเวอร์ลี่ ฮิลส์ และ แมนฮัตตัน บีช รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นกรณีศึกษาสำหรับเมือง ซานตา ครู๊ซ ซึ่งออกกฎหมายห้ามขายบุหรี่ที่มีก้นกรอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568
เนื่องจากก้นกรองเป็นปัญหาใหญ่สำหรับขยะพลาสติก แนวคิดที่จะห้ามไม่ให้ขายบุหรี่มีมาตลอดระยะเวลากว่า 6 ทศวรรษที่ผ่านมา
สถาบันเพื่อสิทธิมนุษยชนของเดนมาร์ก แถลงเมื่อปี 2560 ว่า การผลิตและการตลาดของบริษัทยาสูบข้ามชาติ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการมีสุขภาพที่ดี
ในการประชุมวิชาการการควบคุมยาสูบระดับโลก ระหว่างวันที่ 23-25 มิถุนายน 2568 ณ กรุง ดับลิน ประเทศ ไอร์แลนด์ มีการอภิปรายและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกลไกต่างๆ ที่จะผลักดันนโยบายห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบและ นิโคติน
เพื่อมุ่งสู่การ "รุกฆาต" (endgame) ผลิตภัณฑ์ที่มีสาร นิโคติน เนื่องจากบริษัทยาสูบข้ามชาติละเมิดสิทธิมนุษยชนที่จะได้รับการปกป้องจากอันตรายของผลิตภัณฑ์ยาสูบ
โครงการ “อาทิตย์อัสดง” เป็นโครงการระดับนานาชาติเพื่อยุติเชิงพาณิชย์ของผลิตภัณฑ์ยาสูบและ นิโคติน ทั้งนี้ เพื่อยุติการแพร่ระบาดของโรคและการเสียชีวิตอันมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมองค์การของบริษัทยาสูบข้ามชาติ
โดยธรรมชาติ นิโคติน มีฤทธิ์เสพติดสูงกว่าสารเสพติดใดๆ แต่ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม เช่น บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ ถูกดัดแปลงเพื่อให้มีฤทธิ์เสพติดสูงมากขึ้น เพื่อให้ผู้เสพครั้งแรกก็จะเสพติดไปตลอดชีวิต
การ “รุกฆาต” ผลิตภัณฑ์ยาสูบ และ นิโคติน มีความก้าวหน้าในประเทศต่างๆ ทั่วโลกตลอดระยะเวลา 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ในปี 2548 ราชอาณาจักร ภูฏาน เป็นประเทศแรกที่ห้ามผลิตภัณฑ์ยาสูบเชิงพาณิชย์
คำจำกัดความของการ “รุกฆาต” ผลิตภัณฑ์ยาสูบ และนิโคติน คือการลดอัตราการสูบบุหรี่ในประชากรให้ลดลงต่ำกว่าร้อยละ 5 ซึ่งประเทศ
ฟินแลนด์ นับเป็นประเทศแรกในสหภาพยุโรปที่กระตุ้นให้แนวคิด ‘จบเกม’ ยาสูบ เป็นที่สนใจในปี 2549 โดยตั้งเป้าหมาย “ฟินแลนด์ปลอดยาสูบภายในปี ค.ศ. 2040”
ฟินแลนด์ แก้ไขกฎหมายควบคุมยาสูบในปี 2559 ด้วยการครอบคลุมผลิตภัณฑ์ นิโคติน ทุกชนิด และเร่งรัดเป้าหมาย “ฟินแลนด์ปลอดยาสูบและผลิตภัณฑ์ที่มี นิโคติน ภายในปี ค.ศ. 2030”
แนวคิดของการ “จบเกม” ยาสูบไม่ใช่เพียงเพื่อการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบและ นิโคติน เท่านั้น แต่มองไปยังอนาคตเพื่อให้เกิดสถานการณ์ของคนรุ่นใหม่ที่ปราศจากยาสูบ (tobacco-free generation)
ดังนั้น แนวคิดของการ “รุกฆาต” หรือ “จบเกม” ยาสูบ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มี นิโคติน ทุกชนิด เช่น คนรุ่นใหม่ปลอดยาสูบและนิโคติน นำเสนอโดยประเทศสิงคโปร์ และในรัฐแทสมาเนีย ประเทศออสเตรเลีย คือมาตรการลดอุปทานโดยการห้ามจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาสูบแก่ผู้ที่เกิดในปี 2543
หลังจากนั้น มาตรการนี้มีการดำเนินการบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นมา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากชุมชน 75% และ 72% ของผู้สูบบุหรี่
การขับเคลื่อนนโยบายการ “รุกฆาต” คือหลักการที่ผลิตภัณฑ์ยาสูบไม่ควรจะได้รับอนุญาตให้ขายได้อย่างถูกกฎหมายตั้งแต่แรก
องค์กรต่างๆ ระดับนานาชาติ ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นความผิดปกติทางประวัติศาสตร์ที่ต้องแก้ไข เมื่อปี 2564 กว่า 140 องค์กรทั่วโลกเรียกร้องให้ยุติการขายบุหรี่มวนด้วยการลดปริมาณการขายลงเป็นระยะ
การประชุมวิชาการประจำปี บุหรี่กับสุขภาพ ครั้งที่ 23 โดยศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระหว่างวันที่ 4-5 สิงหาคม 2568
ในประเด็น “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า” มีข้อมูลสอดคล้องกับการประชุมระดับโลกที่ประเทศไอร์แลนด์ ว่าบริษัทยาสูบละเมิดทั้งสิทธิมนุษยชนและสิทธิของเด็ก ที่จะได้รับการปกป้องจากอันตรายของสารเสพติด นิโคติน
ผู้แทนจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) และที่ปรึกษาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมเป็นวิทยากรและให้ข้อมูลว่า …
บุหรี่อิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนหลายมิติ โดยเฉพาะสิทธิในสุขภาพและสิทธิของเด็ก ตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคีและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กขององค์การสหประชาชาติ
โดยรัฐมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิในสุขภาพและสิทธิเด็กจากอันตรายโดยบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งสร้างความตระหนักต่อสาธารณะด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้าน
ดังนั้น การละเมิดสิทธิมนุษยชนในการมีสุขภาพดี และการละเมิดสิทธิเด็กในการได้รับการปกป้องจากสารเสพติดอันตราย เป็นสิ่งที่บริษัทยาสูบข้ามชาติและเครือข่ายบริวารมีเจตนาจงใจใช้“การตลาดล่าเหยื่อ” เพื่อเผยแพร่ “สินค้าแห่งความตาย”
รัฐบาลจำเป็นจะต้องปกป้องเด็กและเยาวชนไทยซึ่งเป็นอนาคตของชาติ รัฐมนตรี จิราพร สินธุไพร ได้กล่าวเปิดงานประชุมวิชาการเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ว่า ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการความร่วมมือในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชน
โดยเน้นไปที่การป้องกันการลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งภายในระยะเวลาเพียง 5 เดือน (กุมภาพันธ์–สิงหาคม 2568) สามารถจับกุมคดีบุหรี่ไฟฟ้าได้กว่า 3,157 คดี ยึดของกลางกว่า 2,945,674 ชิ้น มูลค่ารวมกว่า 579,324,618 บาท ซึ่งมากกว่ายอดของปี 2566 และ 2567 ทั้งปี
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ดำเนินการระงับและปิดกั้น URL ที่กระทำผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้ากว่า 11,000 URL ซึ่งมากกว่าสถิติทั้งปี 2567
รัฐบาลจึงจำเป็นต้องมุ่งเป้าสู่การ “รุกฆาต” (endgame) ผลิตภัณฑ์ที่มีสาร นิโคติน เพื่อคนรุ่นใหม่ที่ปราศจากยาสูบและนิโคติน (tobacco and nicotine-free generation).