ผ่านหรือไม่ผ่าน...ถึงผ่านก็ไม่ได้แปลว่าหุ้นจะขึ้น!
*** สัปดาห์นี้ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป นักการเมือง รวมไปถึงนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ ที่ลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นไทย ต่างจับจ้องไปที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” เนื่องจากในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค. 68 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีนัดลงมติเพื่อชี้ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ จากกรณีปรากฏ “คลิปเสียง” สนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เนื่องจากมติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของรัฐบาล และส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยด้วยเช่นกัน…
หากเสียงส่วนใหญ่จากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จากจำนวน 9 ท่าน ชี้ว่า “น.ส.แพทองธาร” ไม่มีความผิด แม้อาจบริหารงานได้ แต่ก็ยังยากลำบาก เนื่องจากเป็น “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ”
แต่หากศาลชี้ว่า “มีความผิด” ก็จะส่งผลให้ น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที รวมไปถึงอาจถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองในอนาคต หรือ แม้แต่ในกรณีที่ น.ส.แพทองธาร เลือกแนวทาง“ลาออก” จากตำแหน่ง ก่อนที่จะมีการอ่านคำพิพากษาก็ทำให้พรรคเพื่อไทย ในฐานะของแกนนำรัฐบาล จะต้องสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ จากรายชื่อของ “แคนดิเดตนายกฯ” ที่เหลือ ขณะเดียวกันความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจของไทย ที่เดินหน้าอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็จะถูกดึงกลับไปอยู่ในจุดเดิมอีกครั้ง
คราวนี้มาว่ากันใน 2 สมมุติฐาน ว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จากทั้ง 2 กรณี ระหว่างคำตัดสินที่จะออกมาว่า “ไม่ผิด หรือ ผิด”
ในกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมี มติออกมาว่า น.ส.แพทองธาร “ไม่มีความผิด” สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ ตลาดหุ้นไทยอาจได้ปัจจัยบวกที่จะส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวในระยะสั้น นอกจากนี้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะงักอยู่ที่เรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
รวมไปถึงเงินดิจิทัล 10,000 บาท ก็อาจถูกดันต่อ ขณะที่การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะระบบโครงสร้างพื้นฐาน การกระตุ้นท่องเที่ยว รวมไปถึงมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ส่งผลให้ GDP ของประเทศ ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ไม่ได้แย่เกินไปนัก
ในกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติออกมาว่า น.ส.แพทองธาร “มีความผิด” สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ ครม.พ้นไปทั้งคณะ ซึ่งจะทำให้เกิดสุญญากาศในการบริหารประเทศชั่วคราว ตามมาด้วยการเบิกจ่ายงบและโครงการลงทุนรัฐ อาจชะลอตัวซ้ำรอยกับในสมัยที่ “เศรษฐา ทวีสิน” พยายามตั้งรัฐบาล “เพื่อไทย 1”
นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจของไทย จนทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลไปที่อื่น ขณะที่นักลงทุนในประเทศก็จะชะลอการลงทุนจนกว่าจะมีความชัดเจน
ไม่ว่าจะในกรณีที่ น.ส.แพทองธาร มีความผิด หรือ ไม่มีความผิด ก็ตาม นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ จากหลายสำนักต่างมีมุมมองคล้ายกัน
บล. หยวนต้า ระบุว่า คลิปเสียงของนายกฯ จะเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่สำคัญ ทั้งนี้ในระยะสั้นอาจเป็นภาวะ Overhang ในการกระตุ้นการบริโภค และการเบิกจ่ายงบประมาณระหว่างที่รอความชัดเจน จึงอาจกดดันกลุ่ม Domestic Play ต่อเนื่อง แต่คาดเห็นแรง Buy on fact กลับในกลุ่มค้าปลีก ไฟแนนซ์ อาหารเครื่องดื่ม รับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างในช่วงวันสองวัน ก่อนที่ศาลฯ จะวินิจฉัย
บล. ทรีนีตี้ ให้มุมมองว่า หากศาลฯ เห็นว่าไม่เข้าข่ายและทำให้นายกฯ สามารถดำรงตำแหน่งต่อไปได้ จะเป็นกรณีที่ดีต่อเสถียรภาพการเมืองไทย และเป็นการยกระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศขึ้นมา แต่ในทางกลับกัน หากศาลฯ ชี้ว่ามีความผิด เก้าอี้นายกรัฐมนตรีก็จะว่างลงทันที ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆต่อร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ที่เตรียมจะถูกผลักดันออกมาเป็นกฎหมายแล้ว แต่หากกระบวนการเลือกนายกฯ ใหม่ มีความล่าช้า เชื่อว่า ตลาดหุ้นอาจจะอยู่ในภาวะสุญญากาศ ในช่วงเวลาที่ประเทศถูกบริหารโดย ครม.รักษาการได้
อย่างไรก็ตาม…ในมุมมองของเจ๊เมาธ์อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดนะคะ
รัฐบาลจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา…อย่าไปผูกพัน หรือเชื่อมั่นมากเกินไป สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุนก็คือ การรักษาเงินต้น ถ้าไม่หายหรือไม่ลดลงมาเกินไป ก็ยังมีโอกาสที่จะได้กลับมา ถ้ามีทุนพอ…ทุกอย่างก็ยังพอรับได้อยู่แล้วค่ะ
คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย…เจ๊เมาธ์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์