เตรียมตัวให้พร้อมก่อน "บริจาคโลหิต" ให้ปลอดภัยทั้งผู้ให้และผู้รับ
ท่ามกลางความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ส่งผลให้จังหวัดตามแนวชายแดนได้รับผลกระทบ มีทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งไทยได้ระดมสรรพกำลังเข้าช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยการการบริจาคโลหิตนับเป็นวิธีเติมคลังเลือด ช่วยรักษาผู้ประสบเหตุทั้งพลเรือนและทหาร สภากาชาดไทย และหลายโรงพยาบาลทั้งในและนอกพื้นที่ได้เร่งระดมขอรับรับบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนว่า ผู้ที่เข้ารับบริจาคต้องพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ
จุดบริจาคโลหิตสำรองคลังเลือด รับมือเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา
เทคนิคเลือกอาหารช่วยบำรุงเลือด ธาตุเหล็กสูง พร้อมบริจาคโลหิต
เตรียมตัวอย่างไร? ก่อนไปบริจาคเลือด
- ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในเวลาปกติของตนเอง ในคืนก่อนวันที่จะมาบริจาคโลหิต
- ควรมีสุขภาพสมบูรณ์ทุกประการ ไม่เป็นไข้หวัด หรืออยู่ระหว่างรับประทานยาแก้อักเสบใดๆ
- รับประทานอาหารมื้อหลักก่อนมาบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ อาหารที่ประกอบด้วยกะทิ แกงต่างๆ ของทอด ของหวาน ฯลฯ เนื่องจากจะทำให้สีพลาสมาผิดปกติ เป็นสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้ได้
- ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว และเครื่องดื่มเหลวเพิ่ม เช่น น้ำผลไม้ นม น้ำหวาน เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตในร่างกาย จะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อน เช่น มึนงง อ่อนเพลีย หรือวิงเวียนศีรษะภายหลังบริจาคโลหิต
- งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนมาบริจาคโลหิต 24 ชั่วโมง
- งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี
- ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่แขนเสื้อไม่คับเกินไป สามารถดึงขึ้นเหนือข้อศอกได้อย่างน้อย 3 นิ้ว
ความถี่ในการ บริจาคโลหิต
ผู้บริจาคโลหิตหลายท่านคงทราบว่าโลหิตรวมบริจาคได้ทุก 3 เดือน แต่จะมีการบริจาคอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่าการบริจาคส่วนประกอบโลหิต เช่น
- บริจาคพลาสมา 14 วัน
- บริจาคเกล็ดเลือด 1 เดือน
- บริจาคเม็ดเลือดแดง 4 เดือน
โดยรณรงค์ให้ผู้บริจาคโลหิตมีการบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอทุก 3 เดือน หรือปีละ 4 ครั้ง เพิ่มมากขึ้น หรืออย่างน้อยบริจาคโลหิตเพิ่มปีละ 2-3 ครั้ง รวมถึงการเพิ่มจำนวนผู้บริจาคโลหิตรายใหม่ให้มีจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการบริจาคโลหิตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ปัจจุบันโลหิตยังคงเป็นยารักษาโรคที่ยังไม่มีนวัตกรรมใดๆ มาทดแทนได้ จึงจำเป็นต้องมีการรับบริจาคโลหิตจากเพื่อนมนุษย์ เพื่อให้ได้มาซึ่งโลหิตสำหรับใช้ในการช่วยชีวิตผู้ป่วย
- โลหิตที่ได้รับบริจาค 23 % นำไปใช้รักษากลุ่มผู้ป่วยโรคเลือด เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ฮีโมฟีเลีย เกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น ในรายที่เป็นชนิดรุนแรงต้องได้รับโลหิตในการรักษาเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ยูนิต หากไม่ได้รับโลหิตผู้ป่วยจะมีภาวะซีด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวัน
- โลหิตที่ได้รับบริจาค 77 % นำไปใช้รักษาผู้ป่วยที่สูญเสียโลหิตเฉียบพลันจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด ตกเลือดหลังคลอดบุตร เลือดออกในทางเดินอาหาร เป็นต้น ต้องมีโลหิตสำรองไว้ระหว่างการผ่าตัด 2-3 ยูนิต ในกรณีที่มีอาการรุนแรง 5-10 ยูนิต ถ้าโลหิตไม่เพียงพอต้องเลื่อนการผ่าตัด อาจเกิดอันตรายแก่ผู้ป่วยถึงชีวิตได้
สามารถบริจาคโลหิตทั่วประเทศ
- ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ถ.อังรีดูนังต์
- หน่วยรับบริจาคโลหิตประจำที่ (Fixed Station) 7 แห่ง
- ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่ง
- โรงพยาบาลสาขาบริการโลหิตแห่งชาติทั่วประเทศ
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพเมืองราช และสภากาชาดไทย Thai Red Cross Society