“PrideHealth” ปักหมุดไทย เปิดแพลตฟอร์มสุขภาพ LGBTQ+ แห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก
นายบรูซ หลี่ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง PrideHealth กล่าวว่า จำนวนประชากร LGBTQ+ มากกว่า 430 ล้านคนทั่วเอเชียแปซิฟิก หรือกว่า 10% มักถูกมองข้ามความต้องการด้านสุขภาพ ทั้งที่มีความจำเป็นในการดูแลสุขภาพแบบครอบคลุมและเท่าเทียม PrideHealth จึงเปิดแพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัล
เพื่อ “ความต้องการทางตลาด” และ “สิทธิความเท่าเทียมทางสุขภาพ” นำเสนอบริการสุขภาพแบบบูรณาการครบวงจร สำหรับกลุ่ม LGBTQ+ แห่งแรกของเอเชียแปซิฟิก ด้วยการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย
ตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยหลังจากผ่านกฎหมาย “สมรสเท่าเทียม” ในปี 2568 สำหรับการเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของ LGBTQ+ โดยแพลตฟอร์ม PrideHealth มีแผนขยายบริการไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วเอเชียอีก พร้อมปรับบริการให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ มุ่งตอบโจทย์ตลาดที่ “ขาดการดูแล” และ“ถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริง”
จากการวิเคราะห์ PrideHealth พบว่า กลุ่มสุขภาพ LGBTQ+ มีมูลค่าตลาดสูงถึง 5.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มีความต้องการหลักที่ยังคงถูกละเลย เช่น สุขภาพจิต การนอนหลับ การดูแลยืนยันเพศสภาพ (gender-affirming care) การดูแลผู้สูงอายุ และการป้องกันโรค
ดังนั้น ความต้องการด้านสุขภาพของกลุ่ม LGBTQ+ มักถูกมองว่าเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม จึงเป็นโอกาสสำคัญทางสาธารณสุขและเศรษฐกิจ หากสนับสนุนความเท่าเทียมด้านสุขภาพจะช่วยปลดล็อกการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้
สำหรับ PrideHealth ก่อตั้งโดยนายบรูซ หลี่ (Bruce Li) อดีตผู้บริหารในวงการยาระดับโลก (ดำรงตำแหน่ง CEO และ CTO), นายชอว์น ลู (Shawn Loo) นักการตลาดรางวัลระดับนานาชาติ (ดำรงตำแหน่ง Chief Brand Officer) และ นพ.อริย์ธัช ตั้งสง่า (หมอกั้ง) แพทย์อายุรกรรม นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิ LGBTQ+ (ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการแพทย์ของ PrideHealth) โดยได้รับการสนับสนุนจากทีมแพทย์และนักบำบัดที่เป็นมิตรกับ LGBTQ+ ทั่วภูมิภาค
แพลตฟอร์มนี้ให้บริการแบบครบวงจร ทั้ง การแพทย์ทางไกล (Telehealth), การจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพแบบเฉพาะทางผ่านอีคอมเมิร์ซ, และบริการดูแลสุขภาพที่ออกแบบเฉพาะบุคคล ครอบคลุมด้านสุขภาพทางเพศ สุขภาพจิต การป้องกันและการรักษา HIV ตลอดจนบริการที่เกี่ยวข้องกับการยืนยันเพศสภาพ PrideHealth ถือเป็นก้าวสำคัญของการสร้างระบบสุขภาพที่ “เข้าใจ-เข้าถึง-และเคารพ” สำหรับกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 430 ล้านคนในภูมิภาคเอเชีย
ด้าน นพ.อริย์ธัช ตั้งสง่า ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการแพทย์ของ PrideHealth กล่าวว่า สำหรับกลุ่ม LGBTQ+ ในเอเชียแปซิฟิก ยังต้องเผชิญอุปสรรคในการเข้าถึงการรักษาที่ปลอดภัยและเข้าใจความต้องการของพวกเขา PrideHealth.care จึงเข้ามาเพื่อลดอุปสรรคเหล่านี้ และแทนที่ด้วยพลังแห่งการเลือก ความเคารพศักดิ์ศรี และความเท่าเทียมที่ทุกคนพึงได้รับ
โดยความต้องการบริการสุขภาพที่ครอบคลุมสำหรับกลุ่ม LGBTQ+ เป็นเรื่องเร่งด่วนและเป็นความจำเป็นระดับโลก ข้อมูลจาก Open for Business ระบุว่า กว่า 70% ของ LGBTQ+ ในเอเชียยังเผชิญอุปสรรคในการเข้าถึงบริการสุขภาพ การขาดบุคลากรที่เข้าใจ LGBTQ+ และการเลือกปฏิบัติอย่างเปิดเผย
การขาดบุคลากรทางการแพทย์ที่ผ่านการอบรม หรือแม้แต่การเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยิ่งทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในชนบทและชุมชนอนุรักษ์นิยม แม้ประเทศไทยซึ่งมักถูกมองว่าเป็นประเทศที่เป็นมิตรต่อ LGBTQ+ แต่การเข้าถึงบริการสุขภาพที่ตอบโจทย์เฉพาะทางก็ยังไม่ทั่วถึง เช่น กลุ่มคนข้ามเพศผู้สูงวัยที่ติดเชื้อ HIV และผู้ที่ต้องการการดูแลสุขภาพจิต
ทั้งนี้ PrideHealth ได้รวบรวมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจากไทย ไต้หวัน สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจใน LGBTQ+ ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ซึ่งเข้าถึงได้ง่าย เพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับบริการสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่ยืนยันเพศสภาพของตน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดหรือมีรายได้ระดับใดก็ตาม
โดยทีมที่ปรึกษาอาวุโสและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ PrideHealth สะท้อนถึงความหลากหลายของกลุ่มที่ให้บริการ อาทิ
- นพ.อริย์ธัช ตั้งสง่า ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการแพทย์์และผู้ร่วมก่อตั้ง PrideHealth ผู้ขับเคลื่อนประเด็น “สุขภาพที่ครอบคลุม” และการเข้าถึง PrEP ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
- ศ.นพ.เกรียง ตั้งสง่า ประธานคณะกรรมการจริยธรรม กระทรวงสาธารณสุข อดีตนายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย และอดีตนักวิจัยรับเชิญจากโรงพยาบาล Johns Hopkins ประเทศสหรัฐอเมริกา เจ้าของผลงานวิจัยตีพิมพ์กว่า 230 ชิ้น
- พญ.วโรชา มหาชัย แพทย์เฉพาะทางโรคระบบทางเดินอาหารระดับแนวหน้า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเซอรีน และศูนย์วิจัยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารแห่งชาติ และอดีตนายกสมาคมแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย
การเปิดตัว PrideHealth.care ไม่ได้สะท้อนแค่ความก้าวหน้าในระบบสุขภาพที่ครอบคลุมเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณของ “โอกาสทางเศรษฐกิจ” ที่มาพร้อมกับความเท่าเทียมทางเพศอีกด้ว สะท้อนถึงแนวโน้วการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
ขณะที่รายงานของ Open for Business ปี 2567 ระบุว่า ผลกระทบทางสุขภาพที่เกิดจากการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่ม LGBTQ+ ส่งผลให้เศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม สูญเสียผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) สูงถึง 1.24% ต่อปี ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทย เพียงแค่ภาวะซึมเศร้าในกลุ่ม LGBTQ+ ที่นำไปสู่ความพิการและการสูญเสียรายได้ โดยคาดว่ามีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 14.9 พันล้านบาทต่อปี
ในทางกลับกัน แพลตฟอร์มอย่าง PrideHealth ที่สนับสนุนความเท่าเทียมมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยเมืองที่มีนโยบายรองรับ LGBTQ+ อย่างเป็นระบบ มีอัตราการเติบโต GDP สูงกว่าปกติถึง 2.6% ขณะที่บริษัทที่มีนโยบายสนับสนุน LGBTQ+ มีผลกำไรสูงกว่าบริษัททั่วไปถึง 2.3 เท่า
อย่างไรก็ตาม เพื่อรับมือกับความเหลื่อมล้ำเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม PrideHealth จึงได้พัฒนา “Pride Packages” สำหรับองค์กรธุรกิจ ซึ่งเป็นชุดบริการสุขภาพแบบครบวงจร เพื่อให้บริษัทต่าง ๆ สามารถมอบสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพที่ครอบคลุมแก่พนักงานของตนได้อย่างแท้จริง ครอบคลุมทั้งการปรึกษาแพทย์ทางไกล ยาเวชภัณฑ์ อาหารเสริม และบริการโค้ชชิ่ง ด้วยแพลตฟอร์มเดียว เพื่อสร้างองค์กรที่ใส่ใจความหลากหลายอย่างแท้จริง