BOI จัด 5 มาตรการ เสริมแกร่งผู้ประกอบการไทย
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น - บีโอไอ ระดมออกแพ็กเกจส่งเสริมลงทุน หนุนผู้ประกอบการไทยปรับตัว รับมือมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และสงครามการค้า ในโลกยุคใหม่ที่มีการแข่งขันสูง มุ่งเสริมศักยภาพผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยเข้าสู่ Supply Chain โลก พร้อมทั้งเร่งกิจกรรมจับคู่สร้างเครือข่ายธุรกิจ ขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ คว้าโอกาสท่ามกลางวิกฤต
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ตั้งแต่รัฐบาลสหรัฐอเมริกา เริ่มประกาศนโยบายเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวล ประกอบกับสถานการณ์การแข่งขันทางธุรกิจในประเทศมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บีโอไอได้หารือกับกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อเข้าใจปัญหาและหาแนวทางบรรเทาผลกระทบ โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้ออกมาตรการชุดใหญ่ ภายใต้ชื่อว่า “มาตรการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทย เพื่อรองรับโลกยุคใหม่” เพื่อตอบโจทย์ 2 เรื่องสำคัญ คือ (1) สนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเสริมสร้าง Supply Chain ในประเทศให้แข็งแกร่ง พร้อมรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และ (2) ลดความเสี่ยงจากมาตรการการค้าของสหรัฐอเมริกา และจัดระเบียบการลงทุนในบางสาขา เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ และรักษาสมดุลในการแข่งขันทางธุรกิจให้เหมาะสม โดยมี 5 มาตรการย่อย ดังนี้
มาตรการที่ 1 มาตรการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทย ปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยกำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับ SMEs ไทย ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ให้สามารถลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ เช่น การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรให้ทันสมัย การใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยยกระดับกิจการ การประหยัดพลังงาน การยกระดับสู่มาตรฐานสากล รวมทั้งการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ SMEs ไทยเป็นพิเศษ จากเดิมยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ในวงเงินร้อยละ 50 ของเงินลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ปรับเพิ่มขึ้นเป็นยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี ในวงเงินร้อยละ 100 ของเงินลงทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพ
มาตรการที่ 2 มาตรการส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศไทย (Local Content) สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยมีช่องทางการขายที่กว้างขวางขึ้น และสามารถเชื่อมต่อกับบริษัทต่างชาติเพื่อเข้าสู่ Supply Chain ระดับโลก ผ่านการกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อจูงใจให้บริษัทต่าง ๆ ใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขให้บริษัทจะต้องได้รับการรับรอง Made in Thailand (MiT) จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งต้องใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนในประเทศตามสัดส่วนที่กำหนด คือ การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด รถยนต์ไฟฟ้าแบบ PHEV ร้อยละ 45 ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า ร้อยละ 15 และเครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ 40 โดยจะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 2 ปี จากเกณฑ์ปกติ มาตรการนี้จะทำควบคู่กับกิจกรรมจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่กับผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย เช่น งาน SUBCON Thailand และ Business Matching ที่มียอดจับคู่ธุรกิจกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปี และกิจกรรม Sourcing Day ที่บีโอไอจัดร่วมกับบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
มาตรการที่ 3 การเพิ่มความเข้มข้นในการพิจารณากระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ สำหรับบางกิจการที่มีความเสี่ยงต่อการสวมสิทธิ และอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการการค้าของสหรัฐฯ เช่น กิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์โลหะ สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ กระเป๋า เป็นต้น โดยกำหนดเป็นเงื่อนไขชัดเจนว่า ต้องมีกระบวนการผลิตที่เป็นสาระสำคัญ โดยมีการแปรสภาพวัตถุดิบหลักเป็นผลิตภัณฑ์อย่างเพียงพอ เช่น มีการเปลี่ยนพิกัดศุลกากรอย่างน้อยในระดับ 4 หลัก เพื่อให้การผลิตเพื่อส่งออกของไทยเป็นที่ยอมรับและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชัดเจนมากยิ่งขึ้น
มาตรการที่ 4 การจัดระเบียบการลงทุนในบางสาขา เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ และรักษาสมดุลในการแข่งขันทางธุรกิจให้เหมาะสม ดังนี้
(1) กิจการที่ใช้เทคโนโลยีไม่สูง และมีความเสี่ยงต่อมาตรการการค้าของสหรัฐฯ โดยยกเลิกการส่งเสริมผลิตแผงเซลล์แสงอาทิตย์ อุปกรณ์เสริมและอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ รวมทั้งกำหนดหุ้นไทยข้างมากในกิจการผลิตเฟอร์นิเจอร์ กระเป๋า และสิ่งพิมพ์ (2) กิจการที่มีปริมาณผลิตเกินความต้องการ (Oversupply) และกระทบกับผู้ผลิตในประเทศโดยยกเลิกการส่งเสริมผลิตเหล็กขั้นปลาย เช่น เหล็กทรงยาวทุกชนิด เหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กแผ่นหนา ท่อเหล็ก และกิจการตัดโลหะ (3) กิจการที่มีความเสี่ยงด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือชุมชน เช่น การผลิตผลิตภัณฑ์โลหะ เคมีภัณฑ์ พลาสติก การรีด ดึง หล่อหรือทุบโลหะ โดยงดให้สิทธิถือครองที่ดินเพื่อประกอบกิจการ เพื่อให้กิจการเหล่านี้ต้องไปตั้งในนิคมอุตสาหกรรมและได้รับการกำกับดูแลที่รัดกุมมากขึ้น
มาตรการที่ 5 การปรับปรุงเงื่อนไขการจ้างงานบุคลากรต่างชาติ เพื่อสร้างโอกาสการจ้างงานในประเทศ และกระตุ้นให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้แก่บุคลากรไทยมากขึ้น โดยกำหนดว่า หากเป็นกิจการผลิตที่มีการจ้างงานทั้งบริษัทตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป จะต้องมีการจ้างบุคลากรไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 นอกจากนี้ ยังได้กำหนดรายได้ขั้นต่ำของบุคลากรต่างชาติที่จะขอใช้สิทธิด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงานกับบีโอไอ เช่น ถ้าเป็นระดับผู้บริหาร ต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 150,000 บาทต่อเดือน และระดับผู้เชี่ยวชาญ ไม่น้อยกว่า 50,000 บาทต่อเดือน เพื่อให้สามารถคัดกรองบุคลากรต่างชาติที่มีทักษะสูงให้เข้ามาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เศรษฐกิจไทยได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บีโอไอ กำลังเตรียมเสนอมาตรการเพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ อีกทั้งทำให้ประเทศไทยยังคงสามารถแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ในการดึงดูดการลงทุน โดยจะเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ และเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น กลุ่มอาหาร ผลิตภัณฑ์ยาง ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น
“สงครามการค้าโลกที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ทั้งจากภาษีที่สูงขึ้น กฎกติกาการค้าใหม่ ๆ การแข่งขันกับสินค้านำเข้า การเข้ามาของการลงทุนต่างชาติและและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่อาจส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมดั้งเดิม ประเทศไทยจำเป็นต้องวางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจและการลงทุนให้เหมาะสม เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเดิม ควบคู่กับการสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่จะเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะยาว บีโอไอจึงได้ออกมาตรการใหม่หลายด้าน เพื่อมุ่งจัดระเบียบการลงทุน พร้อมกับหนุนให้ผู้ประกอบการไทยเร่งปรับตัว เพื่อคว้าโอกาสการเติบโตในโลกการค้ายุคใหม่” นายนฤตม์ กล่าว